นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ถูกพิพากษาให้จำคุก 2 ปี แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี และให้ปรับเป็นเงิน 1 แสนบาท ในชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ศาลฏีกา เห็นว่า จำเลย มีพฤติกรรมและความประพฤติดี ประกอบกับไม่เคยต้องโทษมาก่อน และมีอาการเจ็บป่วยหลายโรค เช่น โรคมะเร็ง ที่คอและช่องท้อง ต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาล
จึงเห็นควรให้โทษจำคุกรอลงอาญาไว้ ตามที่จำเลยร้องขอ แต่ให้ปรับเพิ่มเป็นเงิน 1 แสนบาท คดีนี้ องค์คณะผู้พิพากษา เห็นว่า คำอุทธรณ์ของจำเลยทั้ง 6 ประเด็น ฟังไม่ขึ้น โดยเฉพาะประเด็นคุณสมบัติของกรรมการ ปปช.บางคน และในขอบเขตอำนาจ หน้าที่ การไต่สวนคดีของ ปปช. นอกจากนี้ ยังรวมถึงอุทธรณ์ในประเด็นที่ว่า จำเลยไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐและไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานออกหนังสือเดินทางโดยตรง แต่ศาลเห็นว่า จำเลย เป็นถึงรัฐมนตรี เป็นผู้บริหารสูงสุดของกระทรวง ซึ่งสามารถให้คุณและโทษได้และมีส่วนรู้เห็นในการออกหนังสือเดินทาง ประเด็นเหล่านี้จึงฟังไม่ขึ้นสำหรับคดีนี้ อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสุรพงษ์ เป็นจำเลย ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดทางอาญา ต่อนายสุรพงษ์ กรณีออกหนังสือเดินทาง ให้กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ซึ่งถูกออกหมายจับในคดีร่วมกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ก่อการร้าย และคดีอื่นๆ ขัดต่อระเบียบข้อบังคับกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 ข้อ 21 (2),(3) และ (4) และเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2561 ศาลฯ มีคำพิพากษาว่า จำเลยในฐานะรัฐมนตรีฯ กระทำการสนับสนุนช่วยเหลือนายทักษิณ ซึ่งเป็นผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก และหลบหนีหมายจับในคดีข้อหาความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ ที่ให้นายทักษิณ สามารถเดินทางในต่างประเทศได้โดยสะดวก อยู่ในต่างประเทศโดยไม่ผิดกฎหมาย และรัฐบาลไทยไม่อาจขอให้รัฐบาลประเทศนั้นขับออกจากประเทศหรือส่งผู้ร้ายข้ามแดน อันเนื่องจากเหตุที่ไม่มีหนังสือเดินทางได้ ส่งผลให้กระบวนการยุติธรรมและคำพิพากษาของศาลยุติธรรมไทยอ่อนแอและไม่มีสภาพบังคับตามลำดับ