"กรมฯให้ความสำคัญกับการรับฟังความเห็นผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก เกษตรกรและภาคประชาสังคม เพื่อให้ได้ข้อมูลความเห็นและมุมมองของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆให้รอบด้านและครบถ้วนมากที่สุด ซึ่งหลังจากการจัดรับฟังความเห็นกลุ่มใหญ่ที่กรุงเทพฯเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา กรมฯเตรียมเดินสายจัดสัมมนารับฟังความเห็นผู้มีส่วนได้เสียในภูมิภาคต่างๆในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน หลังจากนั้นจะรวบรวมผลการศึกษาและผลรับฟังความเห็นเสนอระดับนโยบายเพื่อประกอบการพิจารณาตัดสินใจเรื่องการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียูคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม และน่าจะเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่สหภาพยุโรปแต่งตั้งคณะกรรมาธิการยุโรปชุดใหม่ที่จะตัดสินใจหรือมีนโยบายเรื่องการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอกับไทย"นางอรมน กล่าว
สำหรับการสัมมนารับฟังความเห็นในส่วนภูมิภาคได้กำหนดแผนการจัดหารือ1. ภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรี ในวันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม 2562 ณ โรงแรมไบรท์ตันแกรนด์ พัทยา 2. ภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ ในวันอังคารที่ 22 ตุลาคม 2562 ณโรงแรมแคนทารี ฮิลล์ เชียงใหม่ 3. ภาคใต้ จังหวัดสงขลา ในวันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม2562 ณ โรงแรมที อาร์ ร็อค ฮิลล์ และ 4. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจังหวัดขอนแก่นในวันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน 2562 ณ โรงแรมอวานี ขอนแก่น โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ โดยการจัดหารือแต่ละครั้ง กรมฯได้เชิญวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากภาควิชาการ ภาคเอกชน และภาครัฐ ช่วยนำเสนอข้อมูลและบทวิเคราะห์เชิงสถิติเกี่ยวกับเอฟทีเอไทย-อียู ทั้งประเด็นการเปิดตลาดสินค้าบริการ การลงทุน และประเด็นการค้าใหม่ๆ เช่น การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาการจัดซื้อจัดจ้างโดยภาครัฐ และประเด็นสุขภาพและสาธารณสุข เป็นต้นเพื่อให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้เข้าใจแง่มุมของเอฟทีเอมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม จากการจัดหารือรับฟังความเห็นครั้งแรกเมื่อวันที่23 กันยายน 2562 ที่กรุงเทพฯผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต้องการให้มีการฟื้นเจรจาเอฟทีเอไทย-อียูเพื่อเป็นโอกาสในการขยายตลาดใหม่ๆ ให้กับสินค้าของไทย เช่นสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป สิ่งทอ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ยางและผลิตภัณฑ์ยานยนต์และชิ้นส่วน เป็นต้น โดยมีข้อกังวลว่าหากไทยไม่ทำเอฟทีเอกับอียูไทยจะเสียโอกาสทางการค้าและโอกาสในการเป็นฐานการผลิต การกระจายสินค้าและการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปให้ประเทศอื่นๆที่มีเอฟทีเอกับอียูแล้ว
ขณะที่มีผู้ประกอบการบางส่วน และภาคประชาสังคมตั้งข้อสังเกตและมีข้อกังวลในส่วนที่ไทยอาจจะต้องเปิดตลาดหรือปรับกฎระเบียบที่จะกระทบต่อการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐระบบสุขภาพ ทรัพย์สินทางปัญญา และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ซึ่งฝ่ายไทยจะต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวังทั้งในส่วนการเจรจาเพื่อขอข้อยกเว้นและความยืดหยุ่น ตลอดจนมีกลไกเพื่อรองรับการปรับตัว เช่นการจัดตั้งกองทุนเอฟทีเอเพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบซึ่งประเด็นการจัดตั้งกองทุนเอฟทีเอ กรมฯอยู่ระหว่างหารือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอระดับนโยบายว่าจะดำเนินการอย่างไรเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่ได้รับผลกระทบที่ต้องการให้การขอใช้ไม่ยุ่งยากซับซ้อนและสามารถช่วยพัฒนาศักยภาพของภาคเกษตร ผลิต และบริการของผู้ขอได้จริงในระยะยาว
ปัจจุบันอียูถือเป็นตลาดใหญ่ ครอบคลุม 28ประเทศในทวีปยุโรป มีประชากรรวมกันกว่า 500 ล้านคน เป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 4และนักลงทุนอันดับ 4 ของไทย โดยในปี 2561 การค้าไทย-อียู มีมูลค่า 47,322 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 9.4ของการค้าไทยกับโลก ขยายตัวร้อยละ 6.5 จากปี 2560 โดยไทยส่งออกไปอียู 25,041 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1และนำเข้าจากอียู 22,281ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.1 ส่วนการลงทุนไทยในอียูมีแนวโน้มสูงขึ้นในรอบ2 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2561 คิดเป็น 11,339 ล้านเหรียญสหรัฐมากกว่าการลงทุนจากอียูเข้ามาในไทย ซึ่งอยู่ที่ 7,065 ล้านเหรียญสหรัฐ