นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ให้สัมภาษณ์เนื่องในวันคล้ายวันเกิด ยอมรับว่า ไม่สบายใจ และเสียใจ ต่อกรณี นายสมหวัง อัสราษี อดีตแกนนำคนเสื้อแดง เจ้าของบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อ "มิซูชิต้า" ถูกสรรพากรเรียกเก็บภาษี จำนวน 572 ล้านบาท และโดนฟ้องล้มละลาย โดยต้องขอโทษนายสมหวังกับครอบครัว ซึ่งนายสมหวังมีสิทธิที่จะน้อยใจในโชคชะตา
ทั้งนี้ ส่วนตัวไม่ทราบว่าจะมีการเรียกเก็บภาษีถึง 2 เท่า จึงขอเรียกร้องไปยังอธิบดีกรมสรรพากร และรัฐมนตรีคลัง นายอุตตม สาวนายน ให้ช่วยยกเลิกคำสั่งนี้ต่อนายสมหวังด้วย เพราะคิดว่าเงินบริจาคทางการเมืองเพื่อชุมนุม ไม่ควรเรียกเก็บภาษี และในอดีตก็ไม่เคยมีการเรียกเก็บแบบนี้มาก่อน ถ้าหากทำไม่ได้ ก็ขออย่าเลือกปฏิบัติ ให้มีมาตราฐานเดียวกันกับ 3 กลุ่มการเมือง ทั้ง พันธมิตร นปช. และ กปปส.
นายจตุพร ย้ำว่า ส่วนตัวก็ไม่อยากให้ทั้ง 2 กลุ่มที่เหลือ มาเผชิญกับกรณีแบบเดียวกัน โดยมองว่าไม่อย่างนั้น นายอุตตม อาจจะเข้าข่ายการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมตัดพ้อว่า แกนนำ นปช. ทุกคน และผู้ร่วมชะตากรรม มีจุดจบไม่ต่างกัน ไม่โดนคดี ติดคุก ก็ต้องล้มละลาย เวลาที่เหลือหลังจากนี้ คือ ชดใช้ในสิ่งที่ทำไว้
นายจุตพร ยังบอกว่า เบื้องต้นได้มีพี่น้องไปคุยกับนายสมหวังบ้างแล้ว แต่ยังคงมีความเครียด และคิดไม่ถึงว่าครอบครัวต้องมาประสบชะตากรรมเช่นนี้ ซึ่งต้องยอมรับสภาพความเป็นจริง นปช. อยู่มายาวนานที่สุดในสภาพยากลำบาก ไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิม ส่วนเหตุผลทำไมถึงไม่มีทั้ง 3 รายชื่อ อย่าง วีระกานต์ มุสิกพงศ์ จตุพร และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ในการเปิดบัญชีบริจาค เนื่องจากเป็นแกนนำ ไม่สะดวกเบิกจ่ายเงิน และมองว่าไม่เหมาะถือเงิน พร้อมย้ำว่า ไม่ทราบจะเรียกเก็บภาษีย้อนหลังด้วย