ส่วนการปรับตัวลงของตลาดหุ้นสหรัฐยังกดดันต่อการลงทุนตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียเช้านี้ให้ปรับตัวลดลงด้วยและน่าจะส่งผลมายังตลาดหุ้นไทยในเช้านี้ รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงเมื่อคืนนี้น่าจะยังกดดันต่อการลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีขณะที่ตลาดยังจับตาช่วงใกล้ทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/2562 ของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ซึ่งจะเริ่มจากกลุ่มสถาบันการเงิน แต่ภาพรวมยังมีทิศทางที่ไม่สดใสรวมถึงนักลงทุนต่างชาติและกองทุนในประเทศยังขายสุทธิต่อเนื่องในตลาดหุ้นไทยน่าจะถ่วงภาพรวมการลงทุนส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ทยอยออกมาก็ไม่ได้ส่งผลบวกต่อตลาดมากนัก
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนเดือนตุลาคม2562 ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3เดือนข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว (Neutral) เป็นเดือนที่ 2 เพิ่มขึ้น 8.64 % มาอยู่ที่ระดับ111.62 ผลสำรวจพบว่านักลงทุนคาดหวังนโยบายภาครัฐ ภาวะเศรษฐกิจในประเทศและการไหลเข้าออกของเงินทุนระหว่างประเทศ เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นนักลงทุน
ขณะที่ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศเป็นปัจจัยฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุดรองลงมา คือ ภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน โดยนักลงทุนสนใจลงทุนหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค(ENERG) และหมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ(TOURISM)มากที่สุดขณะที่เห็นว่าหมวดธุรกิจเหล็ก (STEEL) หมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ (MEDIA) และหมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ (PETRO) ไม่น่าสนใจลงทุนมากที่สุด
ด้านทิศทางการลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด คือความเชื่อมั่นปัจจัยในประเทศจากความคาดหวังนโยบายภาครัฐที่ทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากที่สุดรองลงมา คือ ภาวะเศรษฐกิจในประเทศและการไหลเข้าออกเงินทุนโดยนักลงทุนยังกังวลว่าสงครามการค้าสหรัฐและจีนจะยืดเยื้อเป็นปัจจัยฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด รองลงมา คือความกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนและภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาค
ส่วนปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่ต้องติดตามได้แก่ ความคืบหน้าการเจรจาการค้าจีนกับสหรัฐช่วงต้นเดือนตุลาคม แนวโน้ม Brexitที่มีกำหนดเส้นตายวันที่31 ตุลาคม 2562 นโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)ธนาคารกลางของกลุ่มประเทศอียู ที่มีแนวโน้มผ่อนคลายทางการเงิน รวมถึงมาตรการ QEจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศของภาครัฐ การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณและมุมมองอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะข้างหน้า