ทั้งนี้ ด้านสงครามการค้าแม้ขณะนี้สหรัฐฯ และจีนจะมีการเจรจากันอย่างเป็นทางการอยู่แต่การปราศรัยของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่สหประชาชาติก็ดูไม่เอื้อต่อการสร้างบรรยากาศที่ดีในการเจรจา แต่สหรัฐฯถือว่าตัวเองยังมีไพ่เหนือกว่า ด้วยการขึ้นภาษีชุดสุดท้ายที่ขณะนี้ชะลออยู่ คือการขึ้นภาษีกลุ่ม 2.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ จาก 25%เป็น 30% และการขึ้นภาษีกลุ่ม 3แสนล้านเหรียญสหรัฐ รอบที่ 2 อีก 554รายการ รวมถึงการเก็บภาษีนำเข้าเซฟการ์ดสินค้ากลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน ภายใต้มาตรา232 ของกฎหมายขยายการค้าของสหรัฐฯที่อยู่ระหว่างการไต่สวน และจะประกาศผลในวันที่ 14พ.ย.2562 ซึ่ง 2 มาตรการนี้ จะส่งผลกระทบกับจีนมากและประเทศอื่นก็จะพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย
น.ส.พิมพ์ชนกกล่าวว่าการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ กับจีน ไม่ได้ส่งผลกันเพียงระหว่าง 2ประเทศและในเอเชียเท่านั้น แต่แผ่กระจายไปถึงฝั่งยุโรปด้วยเห็นได้จากเศรษฐกิจเยอรมนี ซึ่งมีสัดส่วน 28%ของยูโรโซน และเป็นประเทศที่เน้นการส่งออกเช่นเดียวกับไทยเริ่มส่งสัญญาณไม่ดีตัวเลขเศรษฐกิจทุกตัวลดลง การขยายตัวของจีดีพีในไตรมาส 2หดตัว 0.1% เทียบกับไตรมาสแรกของปีภาพรวมดัชนีการผลิตอุตสาหกรรมและภาคบริการในประเทศหดตัวในรอบหลายเดือน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กำลังจะได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีใหม่จากสหรัฐฯในเดือนพ.ย.นี้
"ผลจากการใช้มาตรการตอบโต้กันของสหรัฐฯและจีน ก่อให้เกิดผลกระทบกับการค้าโลกมากกว่าที่คาดไว้ทำให้ทั้งองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) องค์การการค้าโลก(WTO) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ต่างก็ลดการคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและการค้าโลกลงโดย OECD ปรับลด ประมาณการเศรษฐกิจโลกในปีนี้ลง จาก 3.6%เหลือ 2.9% WTO ประมาณการว่าจะอยู่ที่ 2.6%ในปี 2562 ลดลงจาก 10%ในปีก่อนหน้า ขณะที่ IMF ปรับลดจาก 3.5%เหลือ 3.2%"
ส่วนปัญหาเบร็กซิตในปัจจุบัน พบว่าค่อนข้างจะยุ่งยากและยังไม่เห็นทางออก แม้ว่ากำหนดวันที่ 31ต.ค.2562 จะใกล้เข้ามาแล้วซึ่งเบร็กซิตที่อาจตกลงกันไม่ได้ (no deal Brexit) จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจเยอรมนีที่ค้าขายลงทุนกับอังกฤษมาก ชะลอตัวลงไปอีก ซึ่งเยอรมนีเป็นเครื่องจักรเศรษฐกิจใหญ่ของยุโรปหากมีปัญหาจะทำให้ยุโรปเติบโตช้า กว่าที่ควร แต่จากการติดตามที่ผ่านมารัฐบาลเยอรมันดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวัง มีหนี้ภาครัฐต่ำทำให้มีเครื่องมือและความสามารถในการดำเนินนโยบายที่ยังใช้มาตรการต่างๆกระตุ้นได้ในอนาคต หากจำเป็น
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของไทย พบว่าที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของประเทศต่างๆ ทั่วโลกส่งผลให้การส่งออกลดลง 4% ในเดือนส.ค.ที่ผ่านมาและเศรษฐกิจภายในยังไม่ค่อยฟื้นตัวดีนัก ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ต้องปรับลดประมาณการเติบโตของ GDP และการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) มีนโยบายไม่ขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากเห็นว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายจะช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจและเอื้อให้อัตราอัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับสู่กรอบเป้าหมายจึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวอาจจะทำให้เงินบาทแข็งค่าเพิ่มขึ้นอีกและกระทบกับมูลค่าและรายได้จากการส่งออก