ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวเตือนคนไทยให้เตรียมรับมือ "สึนามิดิจิทัล" ในยุคโลกป่วนว่า ยุคนี้คือยุค "โลกป่วน" หรือดิสรับชั่น (Disruption) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดิสรับ (Disrupt) ที่เกิดจากเทคโนโลยี ซึ่งท้ายที่สุดมันก็จะกลับมาดิสรับพฤติกรรมของคนภายใต้โลกใหม่นี้เอง และตนเชื่อว่าในอีก 3-5 ปีข้างหน้า เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกมหาศาล
ประเด็นสำคัญคือเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงหรือป่วนลักษณะนี้เกิดขึ้นมา เราจะมองให้เป็นโอกาสและมีการปรับตัวให้สามารถอยู่กับการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไรได้บ้าง ซึ่งการเตรียมการรับมือเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะกับ 7 ปัจจัยเสี่ยง "สึนามิดิจิทัล" ที่ท้าทายการพัฒนาคนและจะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลง คือ1. การปรับเปลี่ยนของอาชีพ (Career Migration) เมื่อเทคโนโลยีเข้ามา บางอาชีพอาจจะหายไป จึงทำให้คนในยุคนี้ต้องเน้นการเพิ่มทักษะ ปรับเปลี่ยนทักษะ หรือพัฒนาทักษะใหม่ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เข้ามา2. การเติบโตทางเศรษฐกิจ ไม่ได้มีการจ้างงาน (Jobless Growth)การขับเคลื่อนเศรษฐกิจบนระบบดิจิทัล หรือข้อมูล ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น3. ความแตกต่างทางด้านทักษะ (Skill Divide) คนที่มีทักษะจะถูกแบ่งออกมาเป็น 2 กลุ่มอย่างชัดเจน คนที่มีทักษะทางด้านดิจิทัล และเทคโนโลยี (High Tech)และคนที่มีทักษะด้านบริการ และไม่มีทักษะทางด้านดิจิทัล (High Touch)ทำให้ต้องมีการหางานที่สอดคล้องกับทักษะของคนทั้งสองกลุ่มนี้
4. เกิดการแข่งขันเพื่อแย่งคนเก่ง (Competing for Talents) สถาบันการศึกษา หรือหน่วยงานทั่วโลกจะพยายามดึงดูดคนเก่งให้เข้าไปเรียน หรือทำงานอย่างรุนแรง ดังเช่นที่ว่า "ถ้าเก่งจริง เดี๋ยวก็มีคนมาซื้อตัว"5. การใช้ชีวิตที่หมุนเวียน (Multistage Life) จากแนวคิดที่ว่ารูปแบบการใช้ชีวิตของคนจะเริ่มจากการเรียน (Learning)จากนั้นจึงเริ่มเข้าสู่การทำงาน (Working) และจึงใช้ชีวิต (Living)ตามลำดับ แต่ในอนาคตการเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิตของคนหนึ่งคน จะวนเวียนอย่างต่อเนื่อง คนสูงอายุก็จะมาเรียนรู้ใหม่ หรือคนที่ทำงานไปแล้วก็อาจใช้ชีวิต และกลับมาทำงานใหม่ได้6. การลงทุนในทรัพยากรทางด้านปัญญา (Intellectual Capital Investment)ปัญญาหรือคนถือเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด ต่อไปการวางแผนแรงงาน และการวางแผนแรงงานปัญญา (Manpower and Brainpower Planning)จะมีความสำคัญต่อการกำหนดทิศทางการทำงานอย่างมากและ 7. อาชีพแห่งอนาคต (Career for the Future) การพัฒนาที่เกิดขึ้นเหล่านี้ จะนำมาสู่อาชีพที่เป็นที่ต้องการในอนาคตมากมาย เช่น นักวิทยาศาสตร์ทางด้านข้อมูล หรือวิศวกรทางด้านปัญญาประดิษฐ์ เป็นต้น
รมว.อว. กล่าวต่อว่า นอกจากการพัฒนาคนข้างต้นแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือเรื่องของการปรับกระบวนการทำงาน ต่อไปเราจะทำงานแบบเก่งคนเดียวไม่ได้ แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ และทำงานแบบเครือข่าย เพื่อมาร่วมกันพัฒนาและสร้างสรรค์ผลงานร่วมกัน ซึ่งตนขอเสนอแนวคิดที่เรียกว่า NEAในการมาปรับใช้ในการทำงาน N มาจาก Nobody owns หรือไม่มีใครเป็นเจ้าของ E มาจาก Everybody can use it หรือทุกคนสามารถใช้ได้ และ A มาจาก Anybody can improve it หรือทุกคนสามารถนำไปพัฒนาต่อได้ แนวคิดนี้นับว่าเป็นแนวคิดพื้นฐานของการสร้างระบบนวัตกรรมแบบเปิด (Open Innovation) ที่สามารถให้คนทั่วไปมาร่วมรังสรรค์นวัตกรรมกันได้
ซึ่งทั้งหมดนี้ คือหลักคิดพื้นฐานของไทยแลนด์ 4.0 และการที่เราจะนำพาประเทศก้าวไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ได้อย่างแท้จริงนั้น ก็ต้องเริ่มจากการ "ปฏิวัติความคิด ปฎิรูปตนเอง"ของแต่ละบุคคลก่อน ต้องมองไปข้างหน้า กล้าคิด กล้าเสี่ยง แล้วลงมือทำเพื่อสร้างสรรค์ให้เกิดมูลค่า และท้ายที่สุดจะนำมาสู่การรังสรรค์นวัตกรรมให้เกิดขึ้นในประเทศไทยได้ เพราะการเปลี่ยนแปลง สิ่งท้าทาย หรือความปั่นป่วนจะวิ่งเข้ามาหาเรามากขึ้น ถ้าเราไม่เปลี่ยน คนอื่นก็จะมาเปลี่ยนเราเองในที่สุด