"ทรัมป์" เสียงอ่อย "ไม่อยากทำสงคราม" กับอิหร่าน

ทรัมป์กล่าวขณะให้การต้อนรับองค์มกุฎราชกุมารบาห์เรนที่ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า หลักฐานที่สหรัฐฯ กำลังศึกษาอยู่ในขณะนี้บ่งชี้ว่า อิหร่านน่าจะเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีโรงกลั่นน้ำมันของซาอุดีอาระเบียเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ทรัมป์ยืนยันว่า ตัวเขาไม่อยากทำสงครามกับใครก็ตาม แม้สหรัฐฯ จะมีกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกและเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลาก็ตาม ต่อจากนี้สหรัฐฯ จะหารือกับพันธมิตรไม่ว่าจะเป็นซาอุดีอาระเบียและประเทศอื่นๆ ทั้งในตะวันออกกลางและในยุโรป เช่น ฝรั่งเศสและเยอรมนี เพื่อหามาตรการที่เหมาะสมต่อไปแบบไม่เร่งรีบ แต่หากสหรัฐฯ ตัดสินใจทำอะไรบางอย่างเพื่อช่วยเหลือ ซาอุฯ จะต้องเข้ามามีส่วนรับผิดชอบด้วย โดยเฉพาะด้านการเงิน

ด้านรัฐบาลซาอุฯ ได้ออกมาแถลงยืนยันว่า อาวุธที่ใช้โจมตีเป็นของอิหร่านแน่นอน แต่ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าตกลงแล้วเป็นฝีมือของอิหร่านหรือไม่ โดยขณะนี้การสืบสวนยังคงดำเนินต่อไป และเรียกร้องให้ผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติเข้ามามีส่วนร่วม

ส่วนประธานาธิบดีฮัสซัน โรฮานี ซึ่งได้พบกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย และประธานาธิบดีเรเซป ไตยิป แอร์โดอันของตุรกีเพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นซีเรีย กล่าวว่า การโจมตีเป็นฝีมือของประชาชนชาวเยเมนที่ใช้สิทธิอันชอบธรรมในการป้องกันตนเอง และตอบโต้แบบตาต่อตาฟันต่อฟันต่อซาอุฯ ที่โจมตีทางอากาศในเยเมนมานานหลายปี ขณะที่ปูตินใช้โอกาสนี้ เสนอขายระบบป้องกันขีปนาวุธของตัวเองให้กับซาอุฯ ด้วย

วันนี้อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่านประกาศว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลอิหร่านในทุกระดับจะไม่มีทางเจรจากับสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นเจรจาสองฝ่ายหรือสามฝ่ายก็ตาม เพราะนี่ถือเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกดดันต่ออิหร่าน การเจรจาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสหรัฐฯ ตัดสินใจกลับมายึดมั่นในข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ทรัมป์ถอนตัวไปเมื่อปีที่แล้ว 

แต่ทรัมป์ยืนยันว่า สหรัฐฯ จะไม่มีทางระงับมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน และการที่ไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศกล่าวก่อนหน้านี้ว่า สหรัฐฯ พร้อมเจรจากับอิหร่านอย่างไม่มีเงื่อนไขนั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด