ทั้งนี้ จากสถานการณ์ปัจจุบันสามารถคาดการณ์ได้2 กรณี คือ กรณีที่ 1 สถานการณ์ไม่ยืดเยื้อ โดยซาอุดิอาระเบียสามารถแก้ไขสถานการณ์เป็นปกติและกลับมาผลิตในระดับเดิมได้อย่างรวดเร็วและไม่เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้อีกครั้งทั้งในประเทศซาอุดิอาระเบียหรือประเทศผู้ผลิตน้ำมันสำคัญรายอื่นๆรวมทั้งสถานการณ์ความขัดแย้งไม่ขยายวงอันนำมาสู่ผลกระทบต่อการผลิตน้ำมันในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางและประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายอื่นๆสามารถส่งออกน้ำมันชดเชยการลดลงของซาอุดิอาระเบียได้ภายใต้ข้อสมมติฐานนี้คาดว่าราคาน้ำมันในเดือนกันยายนจะปรับสูงขึ้นเป็น 65 ดอลลาร์/บารเรลก่อนที่จะลดลงเข้าสู่ปกติในช่วงที่เหลือของปีในระดับ 62.5 ดอลลาร์/บาร์เรลส่งผลให้ราคาน้ำมันในช่วงที่เหลือของปี (กันยายน-ธันวาคม 2562) เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ63.1 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ยังคงต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 69.4 หรือลดล 9%
กรณีที่ 2 สถานการณ์ยืดเยื้อทำให้ราคาน้ำมันในช่วงที่เหลืออยู่ที่ 65 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากอาจจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยที่คาดไม่ถึงส่งผลให้ราคาน้ำมันทรงตัวระดับสูงต่อเนื่องในกรณีนี้จะทำให้น้ำมันในช่วงที่เหลือของปี (กันยายน-ธันวาคม 2562) เฉลี่ยอยู่ที่65 ดอลลารบาร์เรล แต่ยังคงต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่69.4 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือลดลง 6.3%
นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวว่า คาดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่สถานการณ์จะไม่ยืดเยื้อหรือเป็นไปตามกรณีที่ 1 ซึ่งจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงกว่าคาดการณ์เดิมเพียงเล็กน้อยประมาณ0.01% และทั้งปียังอยู่ที่ประมาณ 0.7-1.3% อย่างไรก็ตามพบว่าผลของน้ำมันไม่ว่ากรณีที่ 1 หรือ 2จะส่งผลต่อเงินเฟ้อน้อยกว่าเมื่อเทียบกับผลของค่าเงิน โดย สนค. คาดว่า การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงที่เหลือของปีจะทำให้เงินเฟ้อลดลง0.17% และทำให้เงินเฟ้อทั้งปีต่ำกว่า 1.0% สำหรับการส่งออกจะปรับตัวดีกว่าคาดการณ์เดิมประมาณ0.1% โดยสนค. ยังคงเป้าหมายการส่งออกในครึ่งปีหลังที่3.0% ตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ