ทั้งนี้ ความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ)ที่ไทยลงนามแล้ว 13 ฉบับ กับ 18 ประเทศ มีส่วนสำคัญในการทลายกำแพงภาษีนำเข้ายางพาราในประเทศคู่ค้าสร้างแต้มต่อทางการค้าช่วยผลักดันการส่งออกสินค้ายางพาราไทยเติบโตขึ้น โดยปัจจุบัน16 ประเทศคู่เอฟทีเอ คือ อาเซียน 9 ประเทศ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลียนิวซีแลนด์ ชิลี เปรู และฮ่องกง ได้ยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าสินค้ายางพาราทุกรายการให้ไทยแล้ว มีเพียงจีนและอินเดียที่ยังคงเก็บภาษีนำเข้ายางพาราจากไทยบางรายการ เช่น อินเดียเก็บภาษีนำเข้าน้ำยางธรรมชาติ ร้อยละ 70 ยางแผ่นรมควัน ร้อยละ 20 ขณะที่ จีนเก็บภาษียางพารา ร้อยละ 20 และเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าการส่งออกปี 2561 กับปี2535 ซึ่งเป็นปีก่อนที่ไทยจะมีความตกลงการค้าเสรีฉบับแรกกับอาเซียนพบว่าไทยส่งออกยางพาราไปตลาดโลกได้ 1,144 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 302สอดคล้องกับสถิติปี 2561ที่สินค้ายางพาราเป็นหนึ่งในสินค้าที่ผู้ประกอบการไทยขอใช้สิทธิประโยชน์จากเอฟทีเอในการส่งออกมากเป็นอันดับต้น
นางอรมน เพิ่มเติมว่าแม้ว่าปัจจุบันการส่งออกยางพาราของไทยประสบปัญหาจากการตอบโต้ทางการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจที่ส่งผลให้ความต้องการยางพาราเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอุตสาหกรรมต่อเนื่องเช่น รถยนต์ ยางรถยนต์ และชิ้นส่วนรถยนต์ ลดลง แต่เอฟทีเออาเซียน-ฮ่องกง และไทย-ออสเตรเลีย เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้การส่งออกยางพาราของไทยในทั้ง 2 ตลาดในช่วง7 เดือนแรกของปี 2562 (ม.ค. ก.ค.) ขยายตัว โดย ฮ่องกง ขยายตัวร้อยละ 57 ขณะที่ออสเตรเลียขยายตัวร้อยละ 22 ซึ่งกรมฯ คาดว่าในระยะยาวเอฟทีเอทั้งในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะช่วยให้ไทยสามารถครองความเป็นผู้นำการส่งออกยางพาราได้
"เพื่อรักษาสถานะการเป็นอันดับหนึ่งในการส่งออกสินค้ายางพาราของไทยอย่างยั่งยืนกรมฯ พร้อมเดินหน้าผลักดันให้ประเทศคู่ค้าเปิดตลาดสินค้ายางพาราเพิ่มเติมให้ไทยภายใต้การเจรจาเอฟทีเอกับประเทศคู่ค้าต่างๆเช่น จีน อินเดีย ตุรกี ศรีลังกา ปากีสถาน และสมาชิกอาร์เซ็ป เป็นต้นขณะเดียวกันขอให้ผู้ประกอบการไทยมุ่งเน้นรักษามาตรฐานการผลิตควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาดด้วย"นางอรมน กล่าว