ประเด็นหลักที่ฝ่ายเรียกร้องให้แก้รัฐธรรมนูญเน้นไปยังเรื่อง "ที่มา" ของนายกรัฐมนตรี ที่ไม่ต้องผ่านการเลือกตั้ง อีกทั้งยังให้อำนาจ ส.ว.ร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้ด้วย พร้อมกันนี้ในระยะ 5 ปี หากนายกรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งและต้องเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ ก็จะเป็นไปตามกระบวนการเดิม ซึ่งเท่ากับว่าเลือกอย่างไรก็จะได้บุคคลตามที่ผู้ครองอำนาจและส.ว.ต้องการ ขณะที่ที่มาของ ส.ว.เองก็แทบจะไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน หากแต่เป็นการเลือกจากฝ่ายผู้มีอำนาจ คลาคล่ำไปด้วยนายทหาร ข้าราชการ และบุคคลในฝ่ายที่ถูกเรียกว่าสืบทอดอำนาจ ส่วนท่าทีรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กำลังตกเป็นเป้า ก็พยายามแสดงให้เห็นว่า รัฐธรรมนูญกับปัญหาเศรษฐกิจไม่เกี่ยวกัน ควรแก้เรื่องปากท้องก่อน
อันที่จริง รัฐธรรมนูญจะเกี่ยวไม่เกี่ยว หรือเกี่ยวมากเกี่ยวน้อยอย่างไรกับภาวะข้าวยากหมากแพงนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างมุ่งไปที่การสร้างวาทกรรมเสียมากกว่า หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ต่างฝ่ายต่างก็พูดความจริงไม่หมด ฝ่ายที่เสนอแก้ไขนั้น ได้มุ่งไปที่เรื่องการเข้าสู่อำนาจเป็นเรื่องหลัก ซึ่งมองอย่างไรก็เหมือนกิจกรรมนี้แฝงไว้เพื่อตัวเองทั้งนั้น จึงไม่แปลกที่ประชาชนส่วนใหญ่จะเห็นว่าไม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลเอง ก็ผัดผ่อนไปด้วยคำยืนยัน ต้องแก้ปัญหาเศรษฐกิจก่อน ทั้งที่จริงๆ แล้ว หากจะให้ความร่วมมือหริือออกหน้าชูธงแก้ไขกติกาให้เป็นประชาธิปไตยก็ย่อมจะทำได้ แต่ก็เป็นเรื่องแปลกไม่น้อย หากพวกเขาจะแก้กติกาเพื่อปิดทางเข้าสู่อำนาจของตัวเอง