svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

โรคคนทำงาน อันตรายไม่ใช่เล่น!

07 กันยายน 2562
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

นั่งทำงานในออฟฟิศเฉยๆ เป็นเวลานานก็เสี่ยงต่อการเป็นโรคร้ายได้เหมือนกัน หากคุณเป็นมนุษย์ออฟฟิศที่ทุ่มเทเวลาและแรงกายในการทำงาน จนเริ่มมีอาการปวดตามหลัง ไหล่ คอ ปวดหัว ปวดตา แล้วล่ะก็ อย่าได้มองข้ามเป็นอันขาด เพราะที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นอาการของโรค "ออฟฟิศซินโดรม" ซึ่งหากไม่ได้รับการบำบัดรักษาหรือป้องกันอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น อาจเป็นอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพในภายหลังได้

อาการของออฟฟิศซินโดรมมีอะไรบ้าง?
อาการออฟฟิศซินโดรมในระยะแรกนั้นมักจะไม่รุนแรง ทำให้หลายคนชะล่าใจ ละเลยการรักษา และไม่ยอมปรับเปลี่ยนท่าทางหรือพฤติกรรมการทำงานให้เหมาะสม เมื่อนานวันเข้าจึงสะสมและกลายเป็นอาการที่รุนแรงในที่สุด มาลองสังเกตกันดูว่าคุณมีอาการขั้นต้นของโรคออฟฟิศซินโดรมต่อไปนี้หรือไม่
1.ปวดศีรษะ อาจปวดร้าวไปถึงตา และมีอาการปวดไมเกรนบ่อยๆ เกิดได้จากการใช้สายตาในการทำงานมาก ประกอบกับมีความเครียดสะสม วิตกกังวล และพักผ่อนไม่เพียงพอ
2.ปวดเมื่อยหรือเกร็งตามกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ เช่น หลัง ไหล่ สะบัก ต้นคอ แขน ข้อมือ นิ้วมือ เนื่องจากการนั่งทำงานในท่าเดิมนานๆ หากปล่อยไว้โดยไม่แก้ไข จะกลายเป็นอาการปวดเรื้อรังและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นอยู่เฉยๆ ก็ปวดขึ้นมาเองได้
3.มีอาการเจ็บ ตึง และชาตามอวัยวะต่างๆ ซึ่งพัฒนามาจากอาการปวดเรื้อรัง อาการเหล่านี้เกิดจากการอักเสบของกล้ามเนื้อ มีเอ็นอักเสบทับเส้นประสาท หรือเส้นประสาทตึงตัว จนกลายเป็นอาการชาตามมือตามแขน เส้นยึด และนิ้วล็อคในที่สุด
4.อาการเหน็บชาและแขนขาอ่อนแรง เกิดขึ้นได้หากนั่งนานเกินไปจนทำให้มีการกดทับเส้นประสาทหรือการไหลเวียนเลือดผิดปกติ
5.นิ้วล็อก การจับเมาส์หรือการใช้นิ้วมือและข้อมือจับโทรศัพท์มือถือในท่าเดิมเป็นเวลานานๆ เป็นสาเหตุให้เกิดการอักเสบของเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเอ็นนิ้วมือ ทำให้เส้นเอ็นหนาตัวขึ้นและส่งผลให้ไม่สามารถเหยียดนิ้วมือได้ตามปกติ
6.นอนไม่หลับ หรือนอนหลับไม่สนิท เกิดจากความเครียด รวมถึงการมีอาการปวดเมื่อยและปวดหัวมารบกวนในเวลานอนเป็นระยะสาเหตุของออฟฟิศซินโดรม
การนั่งทำงานในอิริยาบถเดิมนานๆ โดยไม่มีการขยับปรับเปลี่ยนท่าทาง เพื่อยืดหรือผ่อนคลายกล้ามเนื้อท่าทางการนั่งทำงานที่ไม่ถูกต้อง เช่น หน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่สูงหรือต่ำกว่าระดับสายตามากเกินไป เก้าอี้เตี้ยหรือสูงเกินไป ทำให้ต้องเงยหรือก้มหน้าตลอดการใช้งานการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์นานเกินไป การเพ่งใช้สายตามากๆ การปรับความสว่างของหน้าจอไม่สมดุลกับความสว่างในห้อง ประกอบกับแสงสีฟ้า (Blue light) จากจอภาพที่ทำให้มีอาการปวดหัวปวดตาตามมาได้
สภาพแวดล้อมในการทำงานไม่เหมาะสม เช่น ออฟฟิศแออัด อากาศไม่ถ่ายเท โต๊ะเก้าอี้ไม่เหมาะกับสรีระร่างกาย อุปกรณ์ในออฟฟิศเต็มไปด้วยฝุ่น เป็นต้นการทำงานหนักเกินไป ทำให้ไม่มีเวลาพักผ่อน รวมถึงความเครียดและความวิตกกังวลที่เกิดจากการทำงาน


ภาวะแทรกซ้อนของออฟฟิศซินโดรม
อาการของออฟฟิศซินโดรม หากปล่อยไว้โดยไม่บำบัดรักษา หรือไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ก็อาจทำให้มีอาการสะสมเรื้อรัง และเกิดอันตรายตามมาได้ เช่นเสี่ยงเกิดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท กระดูกสันหลังคด และแขนขาอ่อนแรง หากรุนแรงมากอาจทำให้เดินไม่ได้ ต้องทำกายภาพบำบัด หรือผ่าตัดเลยทีเดียวเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้า อันมาจากความเครียดสะสม ความกดดัน และบรรยากาศไม่ดีในที่ทำงานเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง จากการรับประทานอาหารจุบจิบในเวลาทำงาน และไม่มีเวลาออกกำลังกาย
การรักษาออฟฟิศซินโดรมด้วยตนเอง
ผู้ที่มีอาการออฟฟิศซินโดรมส่วนใหญ่สามารถบำบัดรักษาได้ด้วยตนเองก่อนในเบื้องต้น เพียงหมั่นยืดคลายกล้ามเนื้อเป็นประจำ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสมตามคำแนะนำต่อไปนี้
เมื่อไรที่เริ่มรู้สึกเมื่อยล้า ควรพักจากการทำงานเพื่อผ่อนคลายร่างกายและสมอง เช่น ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย หรือเดินไปสูดอากาศข้างนอกบ้าง ไม่ควรนั่งทำงานติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไป
หมั่นออกกำลังกายเพื่อยืดและคลายกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะการออกกำลังกายที่จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแนวกลางลำตัว เช่น โยคะ หรือพิลาทิส เพราะจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ ป้องกันเอ็นและข้อยึด นอกจากนี้ยังช่วยผ่อนคลายความเครียด และเสริมภูมิต้านทานให้ร่างกายด้วยปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในการทำงาน เช่น เปลี่ยนโต๊ะและเก้าอี้ให้เหมาะกับสรีระ จัดการออฟฟิศให้สะอาด น่าอยู่ และมีอากาศถ่ายเทมากขึ้นปรับระดับความสูงของเก้าอี้ให้เท้าสามารถวางจรดกับพื้นขณะนั่ง และเข่าอยู่ระดับเดียวกับสะโพกหรือต่ำกว่าเล็กน้อย นั่งทำงานหลังตรงแนบกับพนักพิง ตัวตรง ไม่เอนไปทางโต๊ะหรือพนักเก้าอี้มากเกินไป และกะระยะห่างจากหน้าจอประมาณหนึ่งช่วงแขนระวังอย่านั่งห่อไหล่หรือยกไหล่ขึ้นสูงเกินไป พยายามให้ไหล่อยู่ในท่าทางธรรมชาติให้หน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่ตรงหน้าพอดีและต่ำกว่าระดับสายตาเล็กน้อย เพื่อให้คออยู่ในท่าธรรมชาติ ไม่ต้องแงนหรือก้มเกินไปสำหรับคนที่มีอาการรุนแรงและไม่สามารถรักษาได้ในเวลาอันสั้น อาจต้องพักงานหรือเปลี่ยนงาน เพื่อไม่ให้อาการแย่ลงกว่าเดิม
การรักษาออฟฟิศซินโดรมด้วยวิธีทางการแพทย์
หากไม่แน่ใจว่าเป็นออฟฟิศซินโดรมหรือไม่ หรือกังวลใจเกี่ยวกับอาการที่เป็น คุณสามารถไปพบแพทย์ได้ ซึ่งในเบื้องต้นแพทย์ก็มักจะแนะนำให้ปรับพฤติกรรมและอาจให้ใช้ยาบางชนิด เช่น ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาบรรเทาอาการอักเสบของเอ็นและกล้ามเนื้อ ยาคลายเครียด เป็นต้น ทั้งนี้ก่อนจะใช้ยาใดๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนทุกครั้งในกรณีที่มีอาการรุนแรงถึงขั้นขยับร่างกายลำบาก เดินไม่ได้ มีอาการรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันหรือการทำงาน อาจต้องใช้เวชศาสตร์ฟื้นฟู หรือการทำกายภาพบำบัดร่วมด้วย (สามารถดูรายละเอียดเเละราคาคอร์สทำกายภาพบำบัดได้ที่นี่) รวมถึงการรักษาด้วยการแพทย์ทางเลือกอื่นๆ เช่น การฝังเข็ม การนวดกดจุด เป็นต้น ซึ่งแพทย์จะพิจารณาว่าวิธีไหนเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายมากที่สุด และอาจมีการรักษาร่วมกันหลายวิธี 
ออฟฟิศซินโดรมป้องกันได้อย่างไร?
- ควรจัดสภาพแวดล้อมในที่ทำงานให้ดี และเป็นมิตรแก่ผู้ทำงานแต่แรก ทั้งด้านสถานที่ทำงาน เครื่องไม้เครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆ และสังคมในออฟฟิศ
- จัดท่าทางหรืออิริยาบถเวลานั่งทำงานให้เหมาะสม เช่น ไม่นั่งหลังงอหรือเกร็งเกินไป
- ออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เอ็น และข้อต่อให้แข็งแรง และเพื่อผ่อนคลายความเครียดจากการทำงาน
- พักผ่อนให้เพียงพอ จัดสรรเวลางานและเวลาพักผ่อนให้สมดุลกัน หากมีโอกาสควรหาเวลาพักร้อนเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง

ที่มาของข้อมูล โรงพยาบาลปิยมหาราชการุณย์, โรคออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome)

logoline