2.สานต่อการเจรจาความตกลงเอฟทีเอที่ค้างอยู่ให้คืบหน้าซึ่งไทยมีกำหนดประชุมกับปากีสถานรอบต่อไปในเดือนตุลาคมนี้และหารือกับตุรกีในเดือนธันวาคม 2562 ส่วนศรีลังกาอยู่ระหว่างรอส่งสัญญาณความพร้อมหลังการปรับคณะเจรจาของศรีลังกา 3. เตรียมฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียูโดยคาดว่าผลการศึกษาและการรวบรวมความเห็นของภาคส่วนต่างๆของไทยจะเสร็จในปลายเดือนตุลาคมนี้หลังจากนั้นจะเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและคณะรัฐมนตรีพิจารณา
4.การหาข้อสรุปเรื่อง CPTPP เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา กรมฯได้จ้างศึกษาประโยชน์และผลกระทบต่อไทยในการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก(CPTPP) รวมทั้งได้จัดหารือเพื่อระดมความเห็นผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนทั่วประเทศซึ่งกรมฯ จะนำสรุปผลการศึกษา และผลการระดมความเห็นเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและคณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องนี้ต่อไปและ 5) การเจรจาเอฟทีเอกับสหราชอาณาจักร ภายหลังเบร็กซิท (Brexit) ขณะนี้กรมฯอยู่ระหว่างหารือกับสหราชอาณาจักรเรื่องการจัดทำข้อมูลนโยบายการค้าและศึกษาความเป็นไปได้ (feasibility study) ที่จะทำเอฟทีเอระหว่างกัน
"กรมฯ เล็งเห็นว่าความคืบหน้าในเรื่องเหล่านี้จะมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการเปิดตลาดและขยายส่วนแบ่งการค้าของไทยในตลาดโลกโดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญวิกฤติและความท้าทายจากการที่หลายประเทศมีการใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าระหว่างกัน"นางอรมน กล่าว
นอกจากนี้กรมยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมให้เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ประโยชน์จากการเจรจาได้สูงสุดรวมถึงรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้ กรมฯจึงเดินหน้าจับมือกับหน่วยงานพันธมิตร เช่น สภาเกษตรกรแห่งชาติ กรมส่งเสริมสหกรณ์สภาหอการค้าฯ สภาอุตสาหกรรมฯ และสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือ เป็นต้นเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องความตกลงเอฟทีเอ ประโยชน์ที่ไทยจะได้รับ ผลกระทบและการปรับตัวของไทยต่อไป โดยจะลงพื้นที่ในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศและเน้นสินค้าในพื้นที่ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรสำคัญของไทย เช่น ข้าว ยาง มันสำปะหลังผัก ผลไม้ โคนม โคเนื้อ และอาหารแปรรูปต่างๆ เป็นต้น