ทั้งนี้ ยังจัดสัมมนาหัวข้อ "เรื่องง่ายๆที่ต้องรู้กับการใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอ" และ "สินค้า3 จังหวัดชายแดนใต้ ติดปีกสู่ตลาดการค้าเสรี" ณโรงแรม ดิ อิมพีเรียล นราธิวาส ให้กับผู้ประกอบการในจังหวัดชายแดนใต้ กว่า 100 คนเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องการหาตลาดให้กับสินค้าท้องถิ่นโดยใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอสามารถกระจายสินค้าในพื้นที่ เช่น สินค้าประมงแปรรูป ทุเรียน กล้วยหินผลิตภัณฑ์ยางพารา และผ้าบาติก เป็นต้นสู่อาเซียน รวมทั้งให้ข้อมูลเรื่องโอกาสการส่งออกผ่านด่านต่างๆ เช่น ด่านสุไหงโกลกด่านตากใบในจังหวัดนราธิวาส และด่านเบตงในจังหวัดยะลา และการยกระดับคุณภาพสินค้า เป็นต้น
นางอรมน กล่าวว่ายังได้แจ้งให้ผู้ประกอบการนำสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปที่ผลิตมาร่วมแสดงในงานสัมมนาด้วยโดยจะให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าและการตลาดมาเปิดเวทีวิเคราะห์สินค้าแนะนำตลาดส่งออกให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งกรมฯ มั่นใจว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการและผู้เข้าร่วมสัมมนาใช้โอกาสแลกเปลี่ยนความรู้กับวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ และสร้างเครือข่ายธุรกิจซึ่งหลังจากงานครั้งนี้ กรมฯจะคัดเลือกผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้มาร่วมงานพบปะผู้ซื้อเพื่อเจรจาจับคู่ธุรกิจที่กรุงเทพฯเพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายและส่งออกสินค้า โดยใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอที่ได้ทลายกำแพงภาษีในตลาดอาเซียนแล้วด้วย
จากการสำรวจสถิติสินค้าศักยภาพชายแดนใต้ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2562 (ม.ค.-ก.ค.) พบว่า ทุเรียนสด มีมูลค่าส่งออกไปตลาดโลก988.4 ล้านดอลลาร์ โดยตลาดส่งออกสำคัญคืออาเซียน มีมูลค่าส่งออก 263.8 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นร้อยละ 26.69ของมูลค่าส่งออกทุเรียนทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรปตามลำดับ โดยมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 49.84เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยในปี 2561 ไทยส่งออกทุเรียนสด947.6 ล้านดอลลาร์ มีอาเซียนเป็นตลาดส่งออกหลัก นอกจากนี้ ในช่วง 7เดือนแรกของปี 2562 สินค้าแปรรูป อาทิ ทุเรียนกรอบ และทุเรียนแช่แข็งมีมูลค่าส่งออก 57.5 ล้านดอลลาร์ ตลาดหลักคืออาเซียน และจีน จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการพื้นที่ชายแดนภาคใต้ที่จะเร่งใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอขยายตลาดสินค้าไทยให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน