สำหรับตำแหน่งทางการเมืองที่แกนนำ 9 พรรคเล็กได้รับ ส่วนใหญ่เป็นตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรี แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก แกนนำหรือหัวหน้าพรรคที่ได้เป็น ส.ส. (พรรคเหล่านี้มี ส.ส.คนเดียว) ตัดสินใจลาออกจาก ส.ส.เพื่อรับตำแหน่งเอง ประกอบด้วย พรรคพลังชาติไทย พลตรีทรงกลด ทิพย์รัตน์ ลาออกจาก ส.ส.รับตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำรองนายกรัฐมนตรี (เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีของ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ)
พรรคประชาภิวัฒน์ นายสมเกียรติ ศรลัมพ์ ลาออกจาก ส.ส.รับตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (เป็นผู้ช่วยของ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ) พรรคพลังไทยรักไทย นายคฑาเทพ เตชะเดชเรืองกุล ลาออกจาก ส.ส. เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พรรคประชานิยม พลตำรวจเอกยงยุทธ เทพจำนงค์ ลาออกจาก ส.ส. เพื่อรับตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำรองนายกรัฐมนตรี (เป็นผู้ช่วย พลเอก ประวิตร เช่นกัน) และ พรรคประชาธรรมไทย นายพิเชษฐ สถิรชวาล ลาออกจาก ส.ส. รับตำแหน่งผู้แทนการค้าไทย
กลุ่ม 2 มี 4 พรรค ส.ส.ของพรรคไม่ลาออก จึงส่งบุคคลอื่นเข้ารับตำแหน่งแทนในโควต้าพรรค ประกอบด้วย พรรคครูไทยเพื่อประชาชน นายสรสินธุ ไตรจักรภพ เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ พรรคพลเมืองไทย นายสัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์ เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงกลาโหม พรรคประชาธิปไตยใหม่ นายนิพนธ์ ชื่นตา เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงมหาดไทย และพรรคพลังธรรมใหม่ นายนิทัศน์ รายยวา เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน
สำหรับสาเหตุที่แกนนำพรรคต้องลาออกจาก ส.ส.หรือส่งนอมินีมานั่งเก้าอี้แทน ก็เพราะต้องการป้องกันปัญหา ส.ส.ที่ห้ามรับตำแหน่ง "ข้าราชการการเมือง" ซึ่งตามกฎหมายมีอยู่ 20 ตำแหน่ง ยกเว้นนายกรัฐมนตรี กับรัฐมนตรีเท่านั้นที่เป็นได้ ส่วนพวกเลขาฯรัฐมนตรี ที่ปรึกษา โฆษก เป็นไม่ได้ทั้งสิ้น เพราะมีบทบัญญัติเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อนห้ามเอาไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 184
ส่วนตำแหน่ง "ผู้ช่วยรัฐมนตรี" จริงๆ แล้วเคยมีคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่าไม่ใช่ตำแหน่ง "ข้าราชการการเมือง" แต่เป็น "ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" ซึ่งต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน แต่เพื่อความชัวร์ และป้องกันการยื่นตีความตามมาอีก รัฐบาลจึงตัดสินใจไม่ให้ ส.ส.รับตำแหน่ง "ผู้ช่วยรัฐมนตรี" ด้วย ทำให้แกนนำพรรคเล็กที่จะรับตำแหน่ง ต้องลาออก ถ้าไม่ลาออก ก็ส่งนอมินีมาแทน ตามที่กล่าวมา