เปิด 4 มรสุมกระหน่ำ รัฐบาล "เรือเหล็ก"

ย้อนดูไทม์ไลน์กันสักนิด "บิ๊กตู่" ได้รับโหวตเป็นนายกฯ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน จากนั้นนำคณะรัฐมนตรีเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตน วันที่ 16 กรกฎาคม และแถลงนโยบายต่อรัฐสภา 25-26 กรกฎาคม เรียกว่าเพิ่งได้เข้ากระทรวงอย่างเป็นทางการ เริ่มงานจริงๆ แค่ราวๆ ครึ่งเดือน แต่โดนไปแล้ว 4 เรื่อง มีอะไรบ้างไปดูกันเริ่มจากปัญหาคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรีของ พลเอกประยุทธ์ เพราะฝ่ายค้านมองว่าเป็นหัวหน้า คสช.ด้วย จึงเป็นแคนดิเดตนายกฯไม่ได้ แต่ประเด็นนี้จุดไม่ค่อยติด

ตามด้วยข้อกล่าวหาถวายสัตย์ไม่ครบ จากนั้นก็ดันไปโหวตแพ้ระหว่างการพิจารณาร่างข้อบังคับการประชุมสภาซ้ำอีก ตามด้วยข่าว 10 พรรคเล็กเอื้ออาทรขู่ถอนตัว นี่คือ 4 เรื่องร้อนๆ ที่เป็นมรสุมถล่มรัฐบาล ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องพรรคเล็กถอนตัว เป็นปัญหาเฉพาะหน้าล่าสุด

แม้ความเคลื่อนไหวล่าสุดจนถึงขณะนี้ จะมีแค่ 1 พรรคเท่านั้นที่น่าจะถอนตัวแน่ๆ คือ พรรคไทยศิวิไลย์ ของ "พี่เต้ พระราม 7" มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ แต่ด้วยสถานการณ์ของรัฐบาลปัจจุบัน แม้ขาดแค่เสียงเดียวแต่ก็สุ่มเสี่ยง เพราะทุกเสียงมีความสำคัญเท่ากันหมด โดยเฉพาะหากโดนฝ่ายค้านยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถ้าถึงจุดนั้น รัฐบาลลำบากแน่

เพราะเมื่อส่องดู "จำนวนมือ" เทียบกันระหวางฝ่ายค้านกับรัฐบาล จะพบว่าเสียงสนับสนุนของฝ่ายค้านมีอยู่ 246 เสียง ขณะที่รัฐบาล เดิมมีอยู่ 254 เสียง รวมแล้วห่างกัน 8 เสียง แต่ฝั่งรัฐบาลต้องหักประธานและรองประธานสภาออกไปอีก 3 เสียง เพราะตำแหน่งเหล่านี้ต้องเป็นกลาง โหวตไม่ได้ ก็จะทำให้มีเสียงมากกว่าฝ่ายค้านแค่ 5 เสียงเท่านั้้น หากฝ่ายค้านยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ครม.ทั้งคณะ ก็น่าคิดว่ารัฐมนตรีที่เป็น ส.ส.อยู่ด้วย จะโหวตให้ตัวเองได้หรือไม่ หรือจะเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อนตามที่บัญญัติห้ามไว้ในรัฐธรรมนูญ

สุดท้ายหากตีความว่าเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน ก็ชัดเจนว่าเสียงของรัฐบาลแพ้ฝ่ายค้านแน่นอน ถึงนาทีนั้น สถานการณ์ของรัฐบาลย่อมไม่ใช่เสียงปริ่มน้ำ ต้องเรียกว่า "รัฐบาลสำลักน้ำ" ถึงจะถูก และอนาคตของรัฐบาลคงต้องแขวนอยู่บนเส้นด้าย เพราะหากเมื่อไหร่ที่ฝ่ายค้านยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อนั้นนายกฯ จะไม่สามารถใช้อำนาจยุบสภาหนีได้เลย