ป.ป.ช.เตรียมชี้มูล "คนในระดับสูง" รับสินบนปาล์มอินโดฯ

จากกรณี ปปง. ตรวจสอบเส้นทางการเงิน บริษัท ปตท.กรีน เอ็นเนอร์ยี จำกัด ทั้งในและต่างประเทศ จนพบความผิดปกติในกรณีการจ้างค่านายหน้าที่ดินลงทุนโครงการปลูกปาล์มน้ำมันที่ประเทศอินโดนีเซีย แพงเกินจริง และพบว่า ผู้บริหารระดับสูงของ ปตท. มีส่วนรู้เห็น และปปง.ยังตรวจพบเส้นทางเงินโอนเข้าบัญชี คนไทย หนึ่งในนั้นเป็นภรรยาผู้บริหารระดับรองเลขาธิการ ป.ป.ช. คนหนึ่ง ปปง.  จึงส่งหนังสือแจ้งป.ป.ช. เพื่อให้ตรวจสอบไปถึงการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของรองเลขาธิการ ป.ป.ช.
สำหรับคดีนี้เกี่ยวกับผู้บริหารระดับสูง  ดังนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงตั้งองค์คณะกรรมการ ป.ป.ช.9 คน และมอบหมายให้ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ และ นางสุวณา สุวรรณจูฑะ กรรมการป.ป.ช. เป็นเจ้าของสำนวนกรณีจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินฯ อันเป็นเท็จ หรือปกปิดทรัพย์สินฯ ที่ควรแจ้งต่อ ป.ป.ช. 
จากการไต่สวน และการชี้แจงของรองเลขาธิการ ป.ป.ช. พบว่า เกิดความผิดปกติในการยื่นบัญชีทรัพย์สินของคู่สมรสรองเลขาธิการ ป.ป.ช. โดยไม่ได้แจ้งทรัพย์สินมูลค่ากว่า 260 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินในบัญชีทั้งในไทย และต่างประเทศ รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ
คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ มีข้อมูลผู้บริหารระดับสูงคนดังกล่าว ส่อว่าจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินฯอันเป็นเท็จ หรือปกปิดทรัพย์สินฯ ที่ควรแจ้งต่อ ป.ป.ช. แต่ ผู้ถูกกล่าวหาได้ร้องขอความเป็นธรรม และขอเข้าชี้แจงด้วยวาจา แสดงเจตนาว่าไม่ได้จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน โดยการชี้แจงดังกล่าวเสร็จสินแล้ว 
โดยในวันที่ 13 ส.ค.นี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะนำเข้าสู้ที่ประชุมกรรมการป.ป.ช.ทั้ง 9 คน เพื่อลงมติ ว่า คำชี้แจงของผู้ถูกกล่าวหามีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังได้หรือไม่ คดีมีมูล หรือไม่
แหล่งข่าวจากกรรมการป.ป.ช. เปิดเผยว่า ทราบดีว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญจะต้องทำให้สังคมสิ้นสงสัย และตามกฎหมายใหม่ที่ระบุว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจนำพยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวนหรือพยานหลักฐานที่ได้มาจากต่างประเทศอันได้มาอย่างถูกต้องตามกฎหมายในคดีใดคดีหนึ่งมาใช้เป็นพยานหลักฐานประกอบสำนวนการไต่สวนที่เกี่ยวข้องได้ (มาตรา 67) นอกจากนี้กรณีนี้ถ้ามีมูลจะต้องรับโทษเป็น 2 เท่า