svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

ธปท.ถกเอกชนหนุนหั่นดอกเบี้ยช่วยส่งออก

09 สิงหาคม 2562
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ธปท. ชี้ หอการค้าไทยและส.อ.ท. สนับสนุน กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ระบุต่ำสุดในภูมิภาคและต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐ เพื่อช่วยส่งออกหลังความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศยังรุนแรง คาดแนวโน้มค่าเงินบาทยังคงผันผวน แนะประกันความเสี่ยงป้องกัน

นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายยุทธศาสตร์และความสัมพันธ์องค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้หารือร่วมกับธปท. เกี่ยวกับสถานการณ์ค่าเงิน มาตรการและแนวนโยบายทางด้านการเงิน รวมทั้งการส่งเสริมความเข้มแข็งให้เอสเอ็มอีไทยโดยสภาหอการค้าฯ และสภาอุตฯ สนับสนุนการตัดสินใจของ กนง.ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25%เพื่อดูแลเศรษฐกิจในภาวะที่ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศทวีความรุนแรงและขยายวงกว้างขึ้นและอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอาจจะต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมาย ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปัจจุบันที่ระดับ 1.50%ถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมากที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคและต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ

 



ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี 2562 เงินบาทแข็งค่าประมาณ5% เป็นผลจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ และการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเป็นสำคัญ ซึ่งในช่วง7 เดือนแรกของปีไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 17.4 พันล้านดอลลาร์ จากการส่งออกที่หดตัวแต่การนำเข้าที่ติดลบมากกว่า ในขณะที่การลงทุนอยู่ในระดับต่ำมาเป็นเวลานานซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องอาศัยหลายฝ่ายช่วยกันแก้ไขเพื่อให้เกิดความสมดุลในเรื่องฐานะด้านต่างประเทศ  รวมทั้งเร่งให้เกิดการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนซึ่งจะมีการนำเข้าวัตถุดิบ เครื่องจักรอุปกรณ์ที่จะยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทย

 




"ช่วงที่ผ่านมา ธปท.ดูแลค่าเงินบาทให้เคลื่อนไหวสอดคล้องกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจสะท้อนจากเงินสำรองระหว่างประเทศที่ปรับขึ้นต่อเนื่องแต่ต้องระมัดระวังไม่ให้ถูกเพ่งเล็งว่าแทรกแซงค่าเงินเพื่อให้เกิดความได้เปรียบทางด้านการค้าการอ่อนหรือแข็งของค่าเงินบาทเป็นเหมือนเหรียญสองด้าน จะมีทั้งคนได้คนเสียซึ่งต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ"

 




สำหรับ ในระยะข้างหน้าค่าเงินบาทมีแนวโน้มผันผวนเคลื่อนไหวได้2 ทาง ภาคธุรกิจต้องให้ความสำคัญกับการจัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งมีหลายวิธีเริ่มจากการเลือกกำหนดราคาสินค้าส่งออกในรูปเงินบาทหรือสกุลเงินคู่ค้า (LocalCurrency) เพื่อลดความเสี่ยงที่เงินสกุลหลักมีความผันผวนปัจจุบันผู้ประกอบการไทยยังเลือกกำหนดราคาในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ เกือบ 80%แม้ค้าขายโดยตรงกับสหรัฐฯ เพียง 10% โดย ธปท. สภาหอการค้าฯ และสภาอุตฯจะร่วมกันผลักดันผ่านธนาคารพาณิชย์และผู้ประกอบการให้เลือกใช้เงินบาทหรือ LocalCurrency มากขึ้นรวมทั้งเห็นพ้องกันว่า การสนับสนุนให้ภูมิภาคมี Payment Connectivity เพื่อช่วยลดต้นทุนของผู้ประกอบการและค่าใช้จ่ายของแรงงานในการโอนเงินกลับประเทศ

 




นอกจากนี้ ที่ประชุมหารือเรื่องมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย(LTV) เห็นว่ามาตรการนี้ช่วยลดการแข่งขันปล่อยสินเชื่อที่ไม่เหมาะสมหรือสินเชื่อเงินทอนและส่งผลดีในในเรื่องราคาสำหรับผู้ที่ซื้อที่อยู่อาศัยหลังแรกโดยบัญชีสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา โต 14.2%โดยการซื้อบ้านหลังแรกไม่ได้รับผลกระทบ แต่การกู้หลังที่ 2 ขึ้นไปหดตัว 13%ซึ่งเป็นผลจากคอนโดมีเนียมเป็นหลัก ในขณะที่เริ่มเห็นราคาของคอนโดมีเนียมปรับลดลงทำให้คนที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่จริง (real demand) ซื้อได้ถูกลง อย่างไรก็ดีข้อมูลส่วนนี้เป็นข้อมูลเพียง 3 เดือน โดย ธปท.จะติดตามสถานการณ์และรับฟังข้อคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องต่อเนื่องโดยเฉพาะประเด็นผู้กู้ร่วม ซึ่ง ธปท. รับไปพิจารณาต่อไป

 

 




อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมเล็งเห็นความสำคัญของการส่งเสริมให้เอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้นทั้งในมิติการมีอำนาจต่อรองมากขึ้นในการเจรจากับสถาบันการเงินและการใช้ข้อมูลใหม่ๆ ในการขอสินเชื่อ ที่ผ่านมา ธปท. ได้ผลักดันในหลายส่วน อาทิการผลักดันให้สถาบันการเงิน สามารถใช้ข้อมูลอื่นในการพิจารณาสินเชื่อ (Information-basedLending) การส่งเสริมให้เกิดผู้ประกอบการรายใหม่เช่น P2PLending การสนับสนุนใช้FinTech e-Payment เพื่อลดต้นทุนของผู้ประกอบการ

 





"ธปท. สภาหอการค้าฯ และสภาอุตฯ เห็นตรงกันว่าเศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างที่จะกระทบความสามารถในการแข่งขันและแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคตซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ไขอย่างจริงจัง ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาเหล่านี้จะเป็นต้นทุนแฝงของประเทศ เป็นต้นทุนของทุกภาคส่วนโดยมีหลายเรื่องที่ ธปท. สภาหอการค้าฯ และสภาอุตฯ จะทำงานร่วมกัน อาทิการสร้างความตระหนักรู้ให้ผู้ประกอบการคำนึงถึงการป้องกันความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนตั้งแต่ขั้นตอนก่อนการกำหนดราคา หรือการแก้ปัญหาเอสเอ็มอี  และการแก้ไขปรับโครงสร้างหนี้เอสเอ็มอี ซึ่งจะช่วยสถานการณ์สภาพคล่องและฐานะการเงินของเอสเอ็มอีเพื่อให้เอสเอ็มอีได้กลับมาทำหน้าที่เป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยต่อไป"

logoline