ซึ่งจากรายงานวัณโรคปี 2560 คาดว่า อุบัติการณ์ผู้ป่วยวัณโรค (รายใหม่และกลับมาเป็นซ้ำ) ของโลกสูงถึง 10.4 ล้านคน (140 ต่อแสนประชากร) มีจำนวนผู้ป่วยวัณโรคเสียชีวิตสูงถึง 1.7 ล้านคน ขณะที่ผู้ป่วยวัณโรคที่ติดเชื้อเอชไอวี 1.03 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 10 ของผู้ป่วยวัณโรคทั้งหมด โดยเสียชีวิตปีละ 4 แสนคน
พญ.ผลิน กมลวัทน์ ผู้อำนวยการสำนักวัณโรค กรมควบคุมโรค กล่าวในงานกิจกรรมรณรงค์ให้ความรู้เรื่องวัณโรคสำหรับประชาชนทั่วไป ณ สมาคมปราบวัณโรคแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ถึงสถานการณ์วัณโรคของประเทศไทยว่า วัณโรค เป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศไทย องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้ไทยติด 1 ใน 4 ของโลกที่มีภาระวัณโรค วัณโรคที่สัมพันธ์กับเชื้อเอชไอวี และวัณโรคดื้อยาหลายขนานสูง จากการคาดการณ์ปี 2559 ไทยมีผู้ป่วยวัณโรครายใหม่กลับมาเป็นซ้ำ 119,000 ราย ผู้ป่วยวัณโรคสัมพันธ์กับติดเชื้อเอชไอวี 1 หมื่นราย และผู้ป่วยวัณโรคดื้อยา 4,700 รายขณะที่ ผลดำเนินงานวัณโรคในประเทศไทย โดย สำนักวัณโรค ปี 2559 พบว่ามีผู้ป่วยขึ้นทะเบียนรักษาวัณโรค (ผู้ป่วยรายใหม่และกลับเป็นซ้ำ) 70,114 ราย ผู้ป่วยวัณโรคที่สัมพันธ์กับการติดเชื่อเอชไอวี 6,794 ราย คิดเป็นร้อยละ 11 ของผู้ที่ได้รับการตรวจเชื้อเอชไอวี วัณโรคดื้อยาหลายขนาน 955 ราย และวัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรง 13 ราย โดยมีผลสำเร็จการรักษาผู้ป่วยวัณโรครายใหม่และกลับเป็นซ้ำร้อยละ 82.9%
"ที่ผ่านมา มีหลายภาคส่วนช่วยกันเพื่อลดอุบัติการณ์วัณโรค ต้องค้นให้พบ และ จบด้วยหาย โดยสำนักวัณโรค กรมควบคุมโรค ได้ร่วมมือกับ สมาคมปราบวัณโรคแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ในการจัดหาและอบรม อาสาสมัครอนามัยประจำหมู่บ้านเพื่อช่วยในการรับยา ติดตามผู้ป่วยที่ขาดการรักษา ให้ไปรับการรักษาจนหายขาด และการนัดหมายให้เด็กไปรับการฉีดวัคซีนบีซีจีป้องกันวัณโรค รวมถึงสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ร่วมคัดกรองประชาชนในเขตกรุงเทพฯ" พญ.ผลิน กล่าว
ด้าน ศ.เกียรติคุณ นพ.อรรถ นานา นายกกรรมการบริหาร สมาคมปราบวัณโรคแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า การที่จะสามารถเดินตามเป้าหมายลดอุบัติการณ์วัณโรค ในอีก 15 ปีข้างหน้า ขององค์การอนามัยโลกได้ เราต้องให้ความสำคัญกับกลุ่มเสี่ยงที่จะติดเชื้อวัณโรค ซึ่งมีกว่า 20 ล้านคนทั่วโลก ได้แก่ กลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวี เบาหวาน เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ และผู้สูงอายุ 45 ปีขึ้นไป รวมถึงผู้ที่อยู่ร่วมกับผู้ป่วยวัณโรค หรือ ระแวกใกล้เคียง เพื่อไม่ให้เขาติดเชื้อวัณโรคได้ แม้จะเพียง 5-10 คน แต่ในอนาคตจะขยายวงกว้างขึ้น ทั้งนี้ หากพบว่ามีอาการไอเรื้อรัง 2-3 สัปดาห์ หรือคนรอบข้างมีเชื้อวัณโรคควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อ
สำหรับความเสี่ยงที่มีผลต่อวัณโรค แบ่งเป็น 5 ระดับ ได้แก่ ระดับที่ 1 ความเสี่ยงต่อการสัมผัสโรค เช่น อยู่ร่วมกับผู้ป่วย อยู่ในเมืองหนาแน่น อยู่ในชุมชนที่มีความชุกของวัณโรคสูง, ระดับที่ 2 ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อวัณโรค ขึ้นอยู่กับจำนวนเชื้อที่สูดเข้าร่างกาย ระยะเวลาที่สัมผัสกับผู้ป่วย ความรุนแรงของเชื้อ ภูมิต้านทาน ของผู้สัมผัสโรค ระดับที่ 3 ความเสี่ยงต่อการป่วยเป็นวัณโรค ซึ่งประชาชนทั่วไปที่ติดเชื้อวัณโรคตลอดช่วงชีวิต มีโอกาสป่วยด้วยวัณโรคร้อยละ 10 โดยความเสี่ยงสูงในช่วง 2 ปีแรก สำหรับผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีร่วมด้วย จะมีโอกาสป่วยเป็นวัณโรคสูงถึงร้อยละ 50
ระดับ 4 ความเสี่ยงต่อการป่วยเป็นวัณโรคดื้อยาหลายขนาน ส่วนใหญ่เกิดจากการดูแล ควบคุมไม่มีประสิทธิภาพ เช่น ใช้ยาอย่างไม่เหมาะสม การวินิจฉัยไม่ดีพอ ล้มเหลวต่อการรักษา หรือการควบคุมการแพร่เชื้อวัณโรคในโรงพยาบาลไม่ดีพอ และ ระดับที่ 5 ความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต มีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง คือ อวัยวะที่เป็นวัณโรค เช่น วัณโรคเยื้อหุ้มสมอง การรักษาที่ล่าช้าหรือไม่เหมาะสม และภูมิคุ้มกันร่างกายไม่แข็งแรง อาทิ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ที่มีภาวะขาดสารอาหาร หรือผู้สูงอายุที่มีโรคร่วม
พญ.ผลิน กล่าวเพิ่มเติมว่า วิธีการรักษาวัณโรคทั่วไป ต้องกินยาต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน และในส่วนของวัณโรคดื้อยาต้องกินยา 2 ปี และฉีดยาต่อเนื่อง 6-8 เดือน ซึ่งล่าสุดได้มีการผลิตยาซึ่งใช้ทดแทนยาฉีดในผู้ป่วยวัณโรคดื้อยา ซึ่งกองวัณโรคเป็นผู้กระจายยาสู่โรงพยาบาลต่างๆ สามารถลดระยะเวลาการรักษาจาก 20 เดือน เหลือเพียง 9-11 เดือน
"สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้สิทธิคนไทยทุกคนที่ป่วยเป็นวัณโรคดื้อยาได้ใช้ รวมถึงผู้ที่อาศัยอยู่ร่วมกับผู้ป่วยวัณโรค สามารถเอ็กซเรย์ที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจหาเชื้อได้ฟรี ขณะที่ยาใหม่ครอบคลุมสิทธิข้าราชการ และขณะนี้กำลังพูดคุยกับประกันสังคมเพื่อให้เข้าร่วม" พญ.ผลิน กล่าวทิ้งท้าย