โดยปลัดกระทรวงคมนาคมต้องศึกษาการดำเนินงานในโครงการการจัดทำร่างเอกสารประกวดราคา หรือทีโออาร์ และการปฏิบัติตามสัญญาว่ามีรายละเอียดอย่างไร รวมทั้งเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา โดยเสนอกลับมาให้พิจารณาภายใน15 วัน โดยกระทรวงฯจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมภายในเดือนสิงหาคมนี้
ขณะเดียวกันคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาการขยายสัญญาสัมปทานทางด่วนและรถไฟฟ้า(บีทีเอส) สภาผู้แทนราษฎร ได้ประชุมวานนี้ ซึ่งมีตัวแทนจาก BEM เข้าชี้แจงและให้ข้อมูล
ภายหลังการประชุม หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ นายแพทย์ระวี มาศฉมาดลในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการฯ บอกกับ "เนชั่นทีวี" ว่า ในภาพรวมกรรมาธิการฯเห็นว่า BEM ตอบคำถามได้อย่างชัดเจนโดยมีประเด็นที่น่าสนใจคือ BEM ต้องการให้เรียก"ค่าเบี้ยว" แทน "ค่าโง่" เพราะเป็นข้อพิพาทจากการละเมิดสัญญาที่ระบุไว้ซึ่งทาง BEM ต้องได้รับการชดเชยจากกรณีมีการก่อสร้างส่วนต่อขยายทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์แข่งขันกับทางด่วนอุดรรัถยา
นอกจากนั้นทาง BEM ยังให้ข้อมูลในแง่ของการเปรียบเทียบการเจรจาต่อรองค่าเสียหายว่าหากเป็นบริษัทต่างชาติโดยตรง ไม่ใช่ BEM ที่เจ้าของเป็นคนไทยการจะขอประนีประนอม ลดหนี้จาก 137,517 ล้านบาท เหลือ 58,873 ล้านบาทเป็นสิ่งที่ไม่เกิดขึ้นแน่ในต่างประเทศ แต่ BEM เห็นว่าเป็นการพบกันครึ่งทางซึ่งทางรัฐบาลไม่ได้มีการจ่ายมาก่อน จึงขอแลกกับการต่ออายุสัมปทานแทนเพราะรัฐบาลไม่มีเงินสดที่จะนำมาจ่าย
หมอระวี บอกอีกว่า การชี้แจงของ BEMยังได้เสนอแนวทางดำเนินการในเรื่องนี้ โดยเปรียบเทียบออกมาเป็น 3รูปแบบ ได้แก่
1.รัฐบาลไม่ต่ออายุสัมปทานให้ BEM และต่อสู้ในทุกคดีที่พิพาท แต่ผลคือจะมีโอกาสชนะเอกชนน้อยและอาจต้องจ่ายค่าชดเชยเพิ่มอีก หากเกิดกรณียืดเยื้อไปจนถึงปี 2578 เป็นเงินกว่า 300,000 ล้านบาท
2. รัฐบาลเลือกต่อสู้ทุกคดีเช่นกัน แต่แพ้เพียง 1 คดี คือสร้างส่วนต่อขยายโทลล์เวย์ รัฐบาลก็ต้องจ่ายทั้งค่าชดเชยบวกดอกเบี้ยรวมๆ แล้ว 200,000 ล้านบาท
3. รัฐบาลเลือกต่ออายุสัมปทาน 30 ปีให้กับ BEM การทางพิเศษฯจะได้เงินแน่นอน 300,000 ล้านบาท ส่วน BEM จะได้ประมาณ 94,500 ล้านบาท