รมว.เศรษฐกิจ กางโรดแมปแก้ 'ปากท้อง'
รัฐมนตรีเศรษฐกิจ กางแผนโรดแมปกำหนดทิศทางประเทศไทยภายใต้รัฐบาลใหม่ หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงดูดการลงทุน ประกันรายได้สินค้าเกษตร และแก้ปัญหาปากท้องให้ประชาชนในกลุ่มฐานราก
หลังการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย ล่าสุดบรรดารัฐมนตรีเศรษฐกิจแต่ละกระทรวงได้เริ่มกางแผนดำเนินมาตรการ เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องให้กับประชาชนตามตามที่ได้หาเสียงไว้
อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุ ภายใน 3 เดือน กระทรวงการคลังจะเร่งดำเนินการขับเคลื่อนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยมีแผนที่จะขยายกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย หรือ TFFIF เพื่อเป็นการรองรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งจะต่อยอดระบบการเงินแบบดิจิทัลในเรื่องของ e-Payment เพื่อให้ระบบดังกล่าวเชื่อมโยงไปสู่ประชาชนกลุ่มฐานราก
ด้านสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ในช่วง 2 เดือนข้างหน้า จะนำคณะเดินทางไปยังประเทศเป้าหมาย เพื่อเชิญชวนให้มาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ส่วนการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี อยู่ระหว่างการพูดคุยกับกระทรวงการคลัง เพื่อปลดล็อคข้อจำกัดการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
สำหรับ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เผยว่า ในช่วง 3 เดือนจะผลักดันการปรับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ ปี 2561-2580 หรือ แผน PDP 2018 ให้เหมาะสมด้วยการพัฒนาพลังงานทดแทนไปสู่ชุมชนมากขึ้นในรูปแบบของโรงไฟฟ้าชุมชน โดยใช้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เป็นกลไกในการขับเคลื่อน คาดว่าช่วงกลางเดือน ส.ค.นี้ จะมีกรอบการพิจารณาการปรับเกณฑ์การส่งเสริมของกองทุนฯ ออกมาพร้อมกับการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานต่อเนื่อง
ส่วน จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุ ได้กำหนดเป้าหมายการประกันรายได้ในพืชเศรษฐกิจสำคัญ 5 ชนิด คือ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยราคาผลปาล์มดิบจะพยายามผลักดันให้อยู่ที่ระดับ 4 บาท/กก. จากปัจจุบันที่ระดับ 2 บาท/กก. ซึ่งจะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวันที่ 7 ส.ค.นี้ ส่วนราคายางพาราจะผลักดันราคาให้ขึ้นไปอยู่ที่ 60 บาท/กก.
ขณะที่ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ระบุ จะเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในช่วงปี 2558-2565 ภายใต้กรอบวงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท โดยในส่วนระบบขนส่งทางรางวางเป้าหมาย 3 ปี ระบบรางคู่จะมีความสมบูรณ์ระดับหนึ่ง และจะยกระดับโลติสติกส์เข้าสู่ระบบรางให้ได้ 30% มีศูนย์การกระจายสินค้าขนาดใหญ่ และผลักดันให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น