ทั้งนี้ เบื้องต้นเตรียมจัดทั้งหมด 4ครั้ง ช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม 2562ซึ่งจะจัดหารือตามกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งกลุ่มภาคเอกชนสมาคมธุรกิจและผู้ประกอบการ กลุ่มเกษตรกรกลุ่มผู้บริโภคและองค์กรภาคประชาชนและกลุ่มหน่วยงานภาครัฐ เป็นต้น โดยกรมฯ กำหนดจัดรับฟังความเห็นครั้งแรกกับกลุ่มภาคเอกชนในวันที่ 14 สิงหาคม 2562 ณกระทรวงพาณิชย์
นางอรมน กล่าวว่า นอกจากการจัดหารือรับฟังความเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียแล้วกรมฯ ยังได้มอบหมายให้สถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา (ไอเอฟดี)ศึกษาประโยชน์และผลกระทบการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียูตลอดจนสำรวจความเห็นจากประชากรกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศโดยกำหนดแล้วเสร็จในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งกรมฯ จะรวบรวมผลการศึกษาการจัดรับฟังความเห็น และการตอบแบบสำรวจของประชากรกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศนำเสนอรัฐบาลเพื่อประกอบการตัดสินใจเรื่องการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียูและกำหนดท่าทีการเจรจาอย่างรอบคอบต่อไป
ปี 2561 การค้าไทย-อียูมีมูลค่า 47,322 ล้านดอลลาร์ คิดเป็น 9.4% ของการค้าไทยกับโลกขยายตัว 6.5% จากปี 2560 โดยเป็นการส่งออกจากไทยไปอียูมูลค่า25,041 ล้านดอลลาร์ และไทยนำเข้าจากอียูมูลค่า 22,281ล้านดอลลาร์ ส่วนครึ่งปีแรกของปี2562 (มกราคม-มิถุนายน) มูลค่าการค้ารวมไทย-อียูมีมูลค่า 21,908 ล้านดอลลาร์ เป็นการส่งออกจากไทยไปสหภาพยุโรปมูลค่า12,060 ล้านดอลลาร์ และนำเข้าจากสหภาพยุโรปมูลค่า 9,817ล้านดอลลาร์ โดยสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปอียู เช่นเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบรถยนต์ อัญมณีและเครื่องประดับแผงวงจรไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และไก่แปรรูป เป็นต้นและสินค้านำเข้าสำคัญของไทยจากอียู เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องบินเครื่องร่อน อุปกรณ์การบินและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรมเครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ เป็นต้น
สำหรับการลงทุนไทยในอียูมีแนวโน้มสูงขึ้นในรอบ2 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2561 คิดเป็นมูลค่า11,339 ล้านดอลลาร์ มากกว่าการลงทุนจากอียูเข้ามาไทย ซึ่งมีมูลค่า 7,065ล้านดอลลาร์