svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"หมวดเจี๊ยบ" หวังรัฐบาลไม่ฉวยโอกาสป่วนกรุง ซื้ออาวุธเพิ่มหรือหาเรื่องออกกฎหมายโดยไม่จำเป็น

04 สิงหาคม 2562
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

หลังผ่านสถานการณ์ลอบวางระเบิดป่วนเมืองมาได้ไม่กี่วัน จนถึงขณะนี้ ฝ่ายความมั่นคงเริ่มได้ข้อมูลที่เกี่ยวกับมือระเบิด และแผนปฏิบัติการของกลุ่มคนร้ายแล้วในระดับหนึ่ง

"หมวดเจี๊ยบ" หวังรัฐบาลไม่ฉวยโอกาสป่วนกรุง ซื้ออาวุธเพิ่มหรือหาเรื่องออกกฎหมายโดยไม่จำเป็น


เหตุระเบิดและเหตุเกี่ยวเนื่องที่เป็นสถานการณ์ความไม่สงบช่วงวันที่ 1 และ 2 สิงหาคม 2562 สรุปได้ดังนี้1. เหตุลอบวางวัตถุคล้ายระเบิดที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ช่วงเย็นวันที่ 1 สิงหาคม จุดนี้สรุปแล้วว่า เป็นระเบิดจริง แต่เจ้าหน้าที่ยิงทำลายได้ และติดตามจับกุมผู้ต้องสงสัยตามภาพวงจรปิดได้ 2 คน เป็นชาวอำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส โดยจับกุมได้ขณะหลบหนีโดยใช้รถ บขส. ที่แยกปฐมพร จังหวัดชุมพร ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนขยายผล2. เหตุระเบิดใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ช่องนนทรี ซึ่งจุดเกิดเหตุนี้ยังอยู่ใกล้กับอาคารมหานคร คิงเพาเวอร์ ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ด้วย มีระเบิด 2 ลูก ระเบิดทั้ง 2 ลูก

"หมวดเจี๊ยบ" หวังรัฐบาลไม่ฉวยโอกาสป่วนกรุง ซื้ออาวุธเพิ่มหรือหาเรื่องออกกฎหมายโดยไม่จำเป็น


3. เหตุระเบิดที่หน้าศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ อาคารบี จุดนี้วางระเบิดไว้ 2 ลูก ระเบิดทั้ง 2 ลูก
4. เหตุระเบิดที่หน้ากองบัญชาการกองทัพไทย จุดนี้วางไว้ 2 ลูก ระเบิด 1 ลูก เก็บกู้ได้ 1 ลูก5. เหตุเพลิงไหม้ย่านประตูน้ำ พบหลักฐานเป็นเศษซากอุปกรณ์เพาเวอร์แบงก์ ทำให้มีข้อสันนิษฐานว่า อาจเป็นระเบิดแสวงเครื่องที่ประกอบใส่เพาเวอร์แบงก์ มีลักษณะเป็นระเบิดเพลิง คล้ายๆ กับเหตุระเบิดจนทำให้เกิดเพลิงไหม้ในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน ช่วงใกล้วันสำคัญของประเทศ เดือนสิงหาคม ปี 59
6. เหตุเพลิงไหม้บริเวณชั้นวางสินค้าในห้างดัง 2 แห่งย่านสยามสแควร์ มีข้อสันนิษฐานว่าอาจเป็นการวางระเบิดเพลิง โดยใช้ระเบิดแสวงเครื่องคล้ายๆ กับเหตุเพลิงไหม้ย่านประตูน้ำ

"หมวดเจี๊ยบ" หวังรัฐบาลไม่ฉวยโอกาสป่วนกรุง ซื้ออาวุธเพิ่มหรือหาเรื่องออกกฎหมายโดยไม่จำเป็น

ส่วนเหตุระเบิดในจุดอื่นๆ เช่น ย่านพระราม 9 เป็นระเบิดปิงปองของกลุ่มวัยรุ่น ไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ความไม่สงบ เช่นเดียวกับเหตุระเบิดหน้าป้ายสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ถนนศรีสมาน ก็เป็นสปอตไลท์ระเบิด ไม่เกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบเช่นกัน (แต่มีข้อมูลที่อ้างว่ามาจากฝั่งตำรวจ ระบุว่าเป็นระเบิดแสวงเครื่อง)สำหรับเหตุการณ์ที่เหลือเป็นการพบวัตถุต้องสงสัยตามสถานที่ชุมนุมคนจำนวนมาก และสถานีขนส่งมวลชน ทั้งหมดไม่ใช่ระเบิด แต่มีการวางทั้งแบบจงใจให้เกิดความปั่นป่วน และวางทิ้งไว้จริงๆจากการวิเคราะห์หลักฐานและวัตถุพยานทั้งหมดของเจ้าหน้าที่ สรุปได้ว่า

"หมวดเจี๊ยบ" หวังรัฐบาลไม่ฉวยโอกาสป่วนกรุง ซื้ออาวุธเพิ่มหรือหาเรื่องออกกฎหมายโดยไม่จำเป็น


1. คนร้ายเป็นทีมเดียวกัน แต่แยกชุดปฏิบัติการเป็นชุดย่อยๆ หนึ่งชุดอาจรับผิดชอบก่อเหตุ 1 จุด หรือ 2 จุด
2. วัตถุระเบิดที่ใช้เป็นระเบิดแสวงเครื่อง แบบตั้งเวลา และมี "ไอซี ไทม์เมอร์" หรืออุปกรณ์หน่วงเวลาระเบิด โดยมีการเลือกภาชนะห่อหุ้มระเบิดให้สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศที่นำระเบิดไปวาง
3. การวางระเบิดน่าจะวางตั้งแต่ช่วงบ่ายถึงเย็นของวันที่ 1 สิงหาคม แล้วกำหนดเวลาระเบิด ตั้งแต่ช่วงเช้ามืดของวันที่ 2 สิงหาคม ไปจนถึงช่วงสายๆ เพื่อสร้างความปั่นป่วนให้กับเจ้าหน้าที่ และสร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชน4. เป้าหมายของการวางระเบิด แยกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก หน่วยงานความมั่นคง และส่วนราชการ คือที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ศูนย์ราชการฯ และกองบัญชาการกองทัพไทย กลุ่มที่สอง ห้างสรรพสินค้า และย่านการค้ากลางกรุงเทพฯ กลุ่มที่สาม ระบบขนส่งมวลชน
5. เป้าหมายของการสร้างสถานการณ์ ชัดเจนว่า ต้องการดิสเครดิตรัฐบาล เพราะสามารถวางระเบิดได้ในบริเวณศูนย์ราชการ และฐานบัญชาการของกองทัพ (แม้จะเป็นการวางด้านนอก แต่ผู้รับข่าวสารก็จะรู้สึกว่าเป็นการวางที่หน่วยราชการนั้นๆ) โดยคนร้ายเลือกจังหวะเวลาที่มีการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน เพื่อให้เป็นข่าวดังไปทั่วโลก ทั้งยังโจมตีเป้าหมายทางเศรษฐกิจ ทั้งย่านการค้าและห้างสรรพสินค้าชื่อดัง เพื่อให้กระทบกับความเชื่อมั่น และสะเทือนภาวะเศรษฐกิจของประเทศ

"หมวดเจี๊ยบ" หวังรัฐบาลไม่ฉวยโอกาสป่วนกรุง ซื้ออาวุธเพิ่มหรือหาเรื่องออกกฎหมายโดยไม่จำเป็น

มีข้อสังเกตและคำถามที่ฝ่ายความมั่นคงยังหาคำตอบไม่ได้ ก็คือ เหตุใดมือระเบิดที่นำวัตถุระเบิดไปวางที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงดูเงอะงะ จับพิรุธง่าย เหมือนไม่ใช่มืออาชีพ และยังเป็นคนจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เจ้าหน้าที่จับทางการหลบหนีได้ง่าย เนื่องจากคนกลุ่มนี้เมื่อก่อเหตุนอกพื้นที่ก็จะหนีกลับบ้านขณะที่เหตุระเบิดตรงจุดอื่น โดยเฉพาะในย่านการค้า และห้างสรรพสินค้าดังกลางกรุง เมื่อตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด ดูลักษณะแล้วเหมือนไม่ใช่คนที่มาจากต่างจังหวัด น่าจะเป็นคนในกรุงเทพฯ หรืออยู่ในกรุงเทพฯมานานแล้ว
ฉะนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่า "ชุดปฏิบัติการระเบิด" อาจเป็น "ทีมผสม" โดยใช้คนจากสามจังหวัดใต้เป็นตัวล่อ ให้เจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมได้ง่าย และไขว้เขว แต่ทีมปฏิบัติการจริงในจุดอื่นๆ เป็นมืออาชีพกว่า และใช้ทีมทำงานที่อยู่ในกรุงเทพฯมานาน ซึ่งอาจเป็นคนสามจังหวัดหรือไม่ใช่ก็ได้

ล่าสุดร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดํารง หรือ หมวดเจี๊ยบ สมาชิกพรรคเพื่อไทย ได้เฟซบุ๊คเกี่ยวกับกรณีป่วนกรุงดังกล่าว โดยมีรายละเอียดระบุว่า...

"หมวดเจี๊ยบ" หวังรัฐบาลไม่ฉวยโอกาสป่วนกรุง ซื้ออาวุธเพิ่มหรือหาเรื่องออกกฎหมายโดยไม่จำเป็น


เหตุลอบวางระเบิดหลายจุดที่เกิดขึ้นในขณะนี้ จะยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยให้ดิ่งลงเหวหนักขึ้น
จะเห็นได้ว่า หลังเกิดเหตุระเบิด ดัชนีตลาดหุ้นก็ดิ่งลงทันทีกว่า 20 จุด สะท้อนถึงความไม่มั่นใจของนักลงทุน
ที่สำคัญ ความท้าทายทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่ไทยต้องเผชิญก็เป็นโจทย์ที่ยากและน่าจะซับซ้อนเกินความสามารถของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยเฉพาะปัญหาสงครามทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ
นอกจากนี้ เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากที่สุดในรอบ 6 ปี เมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐ ได้ทำให้สินค้าไทยมีราคาแพงกว่าคู่แข่ง เช่น ข้าวไทย มีราคาตันละ 12,447 บาท ในขณะที่ข้าวเวียดนาม มีราคา ตันละ 10,244 บาท เท่านั้น ลูกค้าจึงหันไปซื้อข้าวเวียดนามแทน
ประกอบกับจีนก็ซื้อข้าวจากไทยน้อยลงถึง 45 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้ไทยขายข้าวได้ต่ำกว่าเป้าถึงเดือนละ 2 แสน ตัน เป็นต้น
นอกจากนี้ สหรัฐซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของไทย ก็เพิ่งออกกฎหมายซื้อสินค้าอเมริกันโดยมุ่งลดการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ หรือ "Buy American Act "
ซึ่งปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้ ภาคส่งออกและธุรกิจท่องเที่ยวไทยทรุดหนัก จนธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่าในปี 2019 ภาคการส่งออกของไทยจะขยายตัว 0 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งนั่นเท่ากับว่า การส่งออกของไทยจะไม่มีการขยายตัวเลยในปีนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจ แต่ก็ไม่เห็น พล.อ.ประยุทธ์ บอกสังคมว่าเตรียมรับมืออย่างไร
ในส่วนของกำลังซื้อภายในประเทศก็หดหายเช่นกัน เพราะคนไทยตกงานและเป็นหนี้ท่วมหัว โดยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า หนี้สินภาคครัวเรือนของไทย มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 78.7 เปอร์เซ็นต์ของ GDP
โดยก่อนรัฐประหารปี 2557 คนไทยมีหนี้สินเฉลี่ยต่อหัวในปี 2553 อยู่ที่คนละ 70,000 บาท ต่อปีเท่านั้น แต่ภายหลังรัฐประหารและความวุ่นวายทางการเมือง หนี้สินของคนไทยกลับพุ่งสูงขึ้นเป็น ปีละ 150,000 บาท ต่อคน ในปี 2560 หรือ เพิ่มขึ้นราว 120 เปอร์เซ็นต์ โดยยังไม่รวมหนี้เงินกู้นอกระบบ
และมีคนไทยไม่ต่ำกว่า 3 ล้านคน ตกอยู่ในวงจรหนี้เสียไม่สามารถชำระหนี้ได้จนถูกฟ้องร้องดำเนินคดี โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้จากการผ่อนรถ ผ่อนบ้าน และหนี้บัตรเครดิต
ซึ่งลูกหนี้ส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน คือ อายุ 25-35 ปี ซึ่งจะเห็นได้ว่าคนไทยเป็นหนี้ตั้งแต่อายุยังน้อยและเป็นหนี้ยาวนานยันแก่ ผิดกับทหารไทยซึ่งร่ำรวยจนมีเงินซื้อเรือดำน้ำและรถถังรุ่นใหม่ ๆ เป็นว่าเล่น แต่พอเกิดเหตุระเบิดป่วนเมืองขึ้น ก็ไม่เห็นว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทุ่มเงินซื้อมาจะช่วยป้องกันเหตุร้ายใด ๆ ได้
และผู้มีอำนาจฝ่ายความมั่นคง โดยเฉพาะ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ก็ใช้วิธีการทำงานแบบคร่ำครึในการคาดเดาว่าใครอยู่เบื้องหลังเหตุระเบิด โดยใช้สมมติฐานแบบเลื่อนลอย และไม่มีพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักมารองรับ
ซึ่งทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ. อภิรัชต์ ควรใช้ความระมัดระวังให้มากในการเชื่อมโยงผู้อยู่เบื้องหลังเหตุระเบิด อย่าทำให้บุคคลอื่นเสียหายโดยไม่เป็นธรรม
และระวังอย่าให้ความเห็นของพวกท่านกลายเป็นการชี้นำการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย เพราะ ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อภิรัชต์ นั้นเป็นนักการเมืองเต็มตัวแล้ว โดยคนนึงเป็นนายกฯ ส่วนอีกคนหนึ่งก็เป็น ส.ว สรรหา ซึ่งให้คุณให้โทษกับเจ้าหน้าที่รัฐอื่น ๆ ได้ โดยเฉพาะตำรวจ อาจทำให้กระบวนการสืบสวนสอบสวนไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริงเพราะถูกการเมืองชี้นำ
ที่สำคัญ หวังว่า รัฐบาล จะไม่ถือโอกาสใช้สถานการณ์ระเบิดป่วนเมืองเหล่านี้ เป็นข้ออ้างในการซื้ออาวุธเพิ่มหรือหาเรื่องออกกฎหมายพิเศษเพื่อละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยไม่จำเป็น.

"หมวดเจี๊ยบ" หวังรัฐบาลไม่ฉวยโอกาสป่วนกรุง ซื้ออาวุธเพิ่มหรือหาเรื่องออกกฎหมายโดยไม่จำเป็น

logoline