เหยื่อทัวร์ "อีแอลซี" ร่วม 100 คน บุกสตช. ทวงถามความคืบหน้าคดี

วันนี้ (30 ก.ค.) เวลา 13.00 น. กลุ่มลูกทัวร์ของบริษัทอีแอลซี กรุ๊ป จำกัด เกือบ 100 คน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่ประสงค์เดินทางต่อ เดินทางเข้ายื่นหนังสือที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อทวงถามความคืบหน้าคดี หลังจากโดนบริษัทอีแอลซี ฉ้อโกงเงินค่าแพคเกจท่องเที่ยว โดยไม่มีการออกทริปตามโปรแกรมที่กำหนด และยังไม่ได้รับเงินคืน มีการคาดการณ์ว่าคดีนี้น่าจะมีผู้เสียหายกว่า 5,000 คน ความเสียหายหลักพันล้านบาท โดยกลุ่มผู้เสียหายได้นัดรวมตัวกัน พร้อมชูป้ายข้อความระบุว่า "พวกเราถูก ELC TOUR โกงเงินค่าทัวร์ จ่ายล่วงหน้าเป็นปี เงินเป็นพันล้าน สุดท้ายไม่ได้เดินทาง ขอหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โปรดดำเนินการด่วน" รวมถึงล่ารายชื่อกว่า 100 คนมายื่นขอความเป็นธรรมในครั้งนี้ด้วย

ตัวแทนผู้เสียหายรายหนึ่งบอกว่า การดำเนินคดีในช่วงที่ผ่านมาล่าช้ามาก กลุ่มผู้เสียหายเเจ้งความไว้ที่สน.หัวหมากตั้งเเต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว และร้องเรียนไปยังหลายหน่วยงาน ทั้งกองปราบปราม ดีเอสไอ ตำรวจท่องเที่ยว กรมการท่องเที่ยว สำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ผ่านมา 8-9 เดือน คดียังไม่มีความคืบหน้า ผู้เสียหายยังไม่ได้เงินคืน รวมถึงไม่มีการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด ทั้งที่บริษัทอีแอลซีโดนกรมการท่องเที่ยวเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการไปแล้ว ซึ่งกังวลว่าหากคดีล่าช้า อาจมีการยักย้ายถ่ายโอนทรัพย์สิน ทำให้ยากต่อการนำเงินมาคืนผู้เสียหาย จึงอยากเร่งรัดติดตามคดี และต้องการทราบแนวทางการทำงานที่ชัดเจนว่าตำรวจดำเนินการถึงขั้นตอนใดแล้ว

ด้าน พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว ผู้กำกับกองกำกับการควบคุมธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ในฐานะหัวหน้าชุดศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) หรือ TACTICS ได้ลงมาชี้แจงกับผู้เสียหายว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่มีการดำเนินคดีไปแล้วกว่า 80% โดยได้ทำงานอย่างครบถ้วนทุกมิติ ซึ่งคดีนี้อยู่ในการดูแลของพล.ต.อ.รุ่งโรจน์ แสงคร้าม รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศปอส.ตร และได้เน้นย้ำให้ดำเนินคดีอย่างรวดเร็ว รอบด้านและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่ปัจจุบันการทำงานยังมีข้อจำกัด เนื่องจากจำนวนผู้เสียหายที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมยังไม่มากมีแค่ 200 กว่าคน เพราะถูกข่มขู่ว่าหากมาแจ้งความจะไม่ได้ไปเที่ยวต่อ และไม่ได้เงินคืน ทำให้ผู้เสียหายไม่กล้าเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จึงอยากแนะนำว่าให้มาแจ้งความ โดยนำเอกสารหลักฐานต่างๆ โดยเฉพาะสเตทเม้นท์จากธนาคารติดตัวมาด้วย ส่วนสลิปที่ผู้เสียหายใช้เป็นหลักฐานในการโอนเงินนั้นอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ต้องนำหลักฐานมาประกอบในการดำเนินคดี รวมถึงประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำทรัพย์มาเฉลี่ยคืนให้ผู้เสียหาย แต่ต้องใช้ระยะเวลาในการทำงาน
"ในส่วนของบริษัททัวร์ตอนนี้ โอกาสได้ไปเที่ยวมีน้อยมาก ผมไม่ได้กล่าวหาใคร ว่าไปตามพยานหลักฐานที่เห็น เพราะความเสียหายเกิดขึ้น 2 ปีที่แล้ว พบเจตนาฉ้อโกงชัดเจนตั้งแต่เริ่มขายทัวร์ และการดำเนินคดีใกล้ถึงที่สุดแล้ว แต่ยังเปิดเผยไม่ได้ ส่วนผู้เสียหายแนะนำให้ไปแจ้งความ เพราะหากอยากได้เงินคืน แต่ไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เป็นไปไม่ได้" พ.ต.อ.สุรศักดิ์กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมได้รับการเปิดเผยว่าขณะนี้การดำเนินคดีของเจ้าหน้าที่ใกล้ถึงที่สุดแล้ว โดยคดีคืบหน้าไปกว่า 80%เบื้องต้นพฤติการณ์ส่อกระทำผิดของบริษัทอีแอลซี เข้าข่ายข้อหาฉ้อโกงประชาชน, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ และพ.ร.บ.ฟอกเงิน แต่ไม่เข้าข่ายแชร์ลูกโซ่