สารวัตรใหญ่นาแก "พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส"เดิมชื่อ "เสรี เตมียเวส" จบโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่น 8 (ตท.8) และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่น 24 (นรต.24) "เสรีพิศุทธ์" เดินทางไปรับราชการเป็น ผบ.หมวด สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง จ.นครพนม และทำหน้าที่หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ประจำกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนมในช่วงปี 2515-2516 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส สมัยอยู่ภาคอีสาน ปี 2519 สถานการณ์สู้รบในพื้นที่สีแดงมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น "เสรีพิศุทธ์" จึงอาสาไปประจำการที่สถานีตำรวจภูธร อ.นาแก จ.นครพนม โดยมีตำแหน่งเป็น ผบ.หมวด อ.นาแก เป็นฐานมวลชนใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) อีสานเหนือ ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่บนเทือกเขาภูพาน ชาวบ้าน ต.ก้านเหลือง และ ต.หนองสังข์ ส่วนใหญ่เป็นแนวร่วมคอมมิวนิสต์ สมัยโน้น ตำรวจจะรับผิดชอบลาดตระเวนหาข่าวตามหมู่บ้านเขตสีแดง แต่การปราบปราม "ทหารดาวแดง" ในเขตป่าเขา เป็นหน้าที่ทหาร โดยกรมทหารราบที่ 3 กองทัพภาคที่ 2ได้มาตั้งหน่วย ฉก.อยู่ที่ภูพานน้อย อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ปี 2522 "เสรีพิศุทธ์" ได้เป็นสารวัตรใหญ่ สภ.อ.นาแก จ.นครพนม และได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี เหรียญรามมาลา เข็มกล้ากลางสมร และเหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 1 "เสรีพิศุทธ์" สมัยเป็นสารวัตรใหญ่นาแก สมัยเป็นสารวัตรใหญ่นาแก ไม่ได้มีภารกิจรบกับคอมมิวนิสต์อย่างเดียว หากแต่ยังมีงานพัฒนา ช่วยเหลือชาวบ้าน ซึ่ง "เสรีพิศุทธ์" ได้จัดระเบียบตำรวจใหม่ ทำให้เป็นที่พึ่งที่หวังของประชาชน ด้วยงานผลงานโดดเด่น ทั้งงานปราบปรามและงานพัฒนาจึงได้รับการขนานนามเป็น "ขุนพลของประชาชน" หรือที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางว่า "วีรบุรุษนาแก" สารวัตรใหญ่นาแกดูแลลูกน้องใกล้ชิด ครูแก้วหรือสหายแสง ตัวละครที่เกี่ยวข้องกับ อ.นาแก อีกรายหนึ่งคือ"ศุภชัย โพธิ์สุ"รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 และ ส.ส.นครพนม สมัยที่ "ศุภชัย"เรียน ป.กศ.ต้น วิทยาลัยครูสกลนคร ได้เข้าร่วมเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 เป็นดาวไฮปาร์คของกลุ่มแนวร่วมนักศึกษาสกลนคร เมื่อเกิดการสังหารหมู่6 ตุลา 2519 ศุภชัย หลบหนีการปราบปรามของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองสมัยนั้น เข้าร่วมการต่อสู้กับ พคท.ที่ภูพาน โดยมีชื่อจัดตั้งว่า "สหายแสง" ครูแก้ว หรือสหายแสง ช่วงปี 2519-2523 เนื่องจากสหายแสงเป็นคนพื้นถิ่น จัดตั้งจึงส่งสหายแสง มาเคลื่อนไหวปลุกระดมมวลชนในเขต อ.นาแก อ.เรณูนคร และ อ.ปลาปาก ซึ่งบางหมู่บ้าน บางตำบลอยู่ในการดูแลของ "เสรีพิศุทธ์" ปี 2524 สหายแสงคืนสู่เหย้า ตามนโยบาย 66/2523 ได้กลับเข้าเรียนหนังสือและรับราชการเป็นครูที่บ้านเกิด อ.ศรีสงคราม ชาวบ้านจึงรู้จักในนาม "ครูแก้ว" จากนั้น ครูแก้วเล่นการเมืองเป็นสมาชิกสภาจังหวัด และลงสมัคร ส.ส.หลายหน แต่สอบตก จนกระทั่งปี 2544 ครูแก้วชนะการเลือกตั้ง เป็น ส.ส. เขต 5 นครพนม พรรคความหวังใหม่ ก่อนพรรคความหวังใหม่จะยุบรวมกับพรรคไทยรักไทย สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ครูแก้วเป็น รมช.เกษตรฯ โควต้ากลุ่มเพื่อนเนวิน หลังจากนั้น ครูแก้วก็สังกัดค่ายภูมิใจไทยมาตลอด ครูแก้วเป็นผู้แทนติดดิน สำหรับชาวเรณูนคร และนาแก บางส่วนยังจดจำวีรกรรมในอดีตของ "สหายแสง" ได้เป็นอย่างดี "หมอสงค์"ขวัญใจไทบ้าน ช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าเสรีรวมไทย ได้ชักชวน"นพ.ประสงค์ บูรณ์พงศ์ "วัย 83 ปี มาเป็นรองหัวหน้าพรรค และเป็นแม่ทัพอีสาน "หมอสงค์" เป็น ส.ส.นครพนมหลายสมัยและรู้จัก "เสรีพิศุทธ์" มาแต่สมัยที่หมอสงค์ เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครพนม เนื่องจากสถานการณ์สงคราม ข้าราชการทุกฝ่ายในพื้นที่ต้องทำงานร่วมกัน นพ.ประสงค์ บูรณ์พงศ์ พาเสรีพิศุทธ์ ไปหาเสียงที่นครพนม หมอสงค์รับตำแหน่ง ผอ.โรงพยาบาลนครพนม ตั้งแต่ปี 2517 และได้จัดตั้ง "หน่วยหมอเคลื่อนที่" ออกไปตามหมู่บ้านต่างๆ ทั้งเขตสีแดง และสีชมพู เป้าหมายลึกๆ ก็คือการทำสงครามแย่งชิงมวลชนเพราะฝ่ายคอมมิวนิสต์ใช้ "หมอฝังเข็ม" มาดูแลชาวบ้านอีกด้านหนึ่ง โครงการหมอเคลื่อนที่ ทำให้ชาวบ้านรู้จักหมอสงค์ เมื่อหมอสงค์ลาออกจากราชการมาสมัคร ส.ส.ปี 2526 ก็ชนะเลือกตั้งอานิสงส์จากหน่วยหมอเคลื่อนที่สมัยทำสงครามแย่งชิงมวลชน ทำให้หมอสงค์หาเสียงไม่ยาก เลือกตั้ง 2562 หมอสงค์ลุยหาเสียงเคียงคู่หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และฉายา "วีรบุรุษนาแก" ยังขายได้ในสมรภูมิเลือกตั้งอีสานช่างบังเอิญว่า มีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับสมรภูมิรบในพื้นที่ อ.นาแก จ.นครพนม ระหว่างปี 2519-2522 มาอยู่ในสภาผู้แทนฯ ชุดนี้ด้วยกันถึง 3 คน