ส่วนปัญหาการควบคุมอารมณ์ของนายกฯ ท่านก็ไม่ได้ทำให้แฟนๆ ผิดหวัง ทั้งคนรักและคนเกลียด เพราะท่านนายกฯ "ปรี๊ดแตก" จริงๆ เนื่องจากท่านลุกขึ้นชี้แจงแบบอารมณ์ขึ้นหลายครั้้ง ไม่นับกรณีตัดพี่ตัดน้องกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยแล้ว ก็ยังมีช่วงการลุกขึ้นชี้แจงคำอภิปรายของนายสุทิน คลังแสง ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่อภิปรายหว่านไปทุกเรื่องจนนายกฯ ทนไม่ไหว ลุกขึ้นมาตอบโต้ ทั้งเนื้อหาและอารมณ์ โดยเฉพาะการอ้างอิงถึงอาชีพครูของนายสุทิน รวมไปถึงการประกาศว่าตนเป็นนายกฯ แบบนี้ และจะเป็นต่อไปประเด็นที่ 2 ที่คนพูดถึงกันมาก คือฝีมือการทำหน้าที่ควบคุมการประชุมที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว ระหว่าง ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภากับรองประธาน พรเพชร วิชิตชลชัย ซึ่งเป็นประธานวุฒสภา สำหรับคนที่นั่งเฝ้าจอโทรทัศน์ พูดง่ายๆ ก็คือถ้าเมื่อไหร่นายพรเพชรทำหน้าที่ประธาน เมื่อนั้นต้องมีป่วน มีประท้วง มีโห่ฮาประเด็นที่ 3 ที่คนพูดถึงกันมาก ก็คือ "ดาวสภา" หรือนักการเมืองที่อภิปรายดี มีความหวัง ซึ่งครั้งนี้มีหลายคน แต่คนที่ถูกพูดถึงมากที่สุด คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ซึ่งอภิปรายนโยบายด้านการเกษตร "กระดุม 5 เม็ดนโยบายเกษตรไทย" ที่ทำเอาผู้ถูกอภิปรายอยาง "บิ๊กป๊อก" พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รมต.มหาดไทย ถึงกับลุกขึ้นชื่นชม
ล่าสุด "ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์" ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงประเด็นการประชุมสภาฯที่ผ่านมา โดยระบุว่า
กลยุทธ์ล้มรัฐบาล
การอภิปรายที่สภาวันก่อนไม่ได้มีอะไรใหม่
หาสาระที่ประชาชนจับต้องไม่ได้ ยังคงเป็นการสะกิดอดีต ตอบโต้ ประท้วง ยั่วยุให้โมโห ใช้ลีลาประกอบ แล้วหาช่องทิ่มแทง เป็นเรื่องปกติที่ทุกสมัยทำกัน
หากคิดจะเล่นของแรงเขย่ารัฐบาลได้ ต้องมีข้อมูลลับ ชนิดชาวบ้านอ้าปากค้าง ต้องให้สังคมเชื่อฝ่ายค้านมากกว่ารัฐบาล
ตอนนี้เรียกว่าแค่ประลองกำลังหยั่งเชิงกันเฉยๆ ไม่มีอะไรในกอไผ่
จึงขอแนะนำ จากอดีตฝ่ายค้านที่เคยอภิปรายวันแถลงนโยบายจนรัฐบาลจุกอก ดังนี้
1. หลักฐานเด็ด ที่ข้าราชการประจำต้องให้ความร่วมมือ (เป้าหมาย)
2. ประเด็นที่กระทบจิตใจของสังคม ทำให้สาธารณชนตระหนัก (หัวใจ)
3. ผู้นำเสนอ ต้องมีแรงกระตุกที่รุนแรงด้วยลูกล่อลูกชนที่ครบเครื่อง (เครื่องมือ)
ทั้งสามอย่างต้องประกอบกันด้วยสัดส่วนที่ลงตัวคือแรงสั่นสะเทือนที่หัวหน้ารัฐบาลต้องระวังตัว ยิ่งระวังมาก โอกาสที่ลิ่วล้อจะทำพลาดก็ยิ่งมาก ตามประสาการเมืองไทยในอดีตวันอภิปรายนโยบายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ผมได้นำเสนอเรื่องบ่อนการพนันใหญ่ใจกลางถนนรัชดาภิเษก มีคนเข้าไปเล่นวันหนึ่งๆ เกือบพันคนไม่ต่างจากมาเก๊า โต๊ะพนันเรียงกันเป็นตับ ทั้งบาคาร่า ไฮโล ตู้สล็อต โดยมีหลักฐานเด็ดเป็นคลิปวิดีโอชัดเจน ตรงเป้าหมายตามข้อที่ 1
เพื่อทำให้เห็นว่า ตำรวจดูแลไม่ทั่วถึง หรือมีไฟเขียวให้เปิดได้
แม้มีคนเตือนผมว่าที่นี่ของแรง อย่าบังอาจไปแตะ แต่ผมไม่เชื่อ มั่นใจว่าเป็นพวกแอบอ้างมากกว่า จึงต้องลองของ เพราะของยิ่งแรง รัฐบาลยิ่งพัง จึงส่งสายลับกล้าตายแฝงตัวไปถ่ายคลิปเป็นหลักฐาน
แต่ผมขาดความร่วมมือจากข้าราชการประจำ (แน่นอนว่าหากตำรวจดีๆ ในยุคนั้นให้ความร่วมมือ หรือหากยุคนี้มีทหาร หน่วยราชการอื่นๆ ดีๆ ช่วย ผลออกมาต้องพังมากกว่านี้หลายเท่าทวีคูณ)
หลังจากผมอภิปรายเสร็จ ด้วยความเอื่อยเฉื่อย ล่าช้า โยกโย้อยู่ 3 วัน หลักฐานขนาดบ่อนทั้งบ่อน จึงไปกับขบวนรถสิบล้อที่ขนอุปกรณ์หนีทั้งคืน จนหายวับไปกับตา
เป้าหมายของผมตามข้อ 1 จึงได้ผลเพียง 50%
แต่ในข้อ 2 ผมได้ 100% แน่นอน เพราะเป็นเรื่องที่กระทบต่อสังคม บ่อนการพนันเป็นสิ่งที่ชาวบ้านเห็นได้ด้วยตาเปล่า แสดงให้เห็นถึงการทุจริตคอรัปชั่นของข้าราชการ อันถือว่าเป็นหัวใจให้ประชาชนได้รับรู้
ส่วนเครื่องมือในข้อ 3 ประกอบด้วยตัวผม ลีลานำเสนอ และจังหวะจะโคน อันทำให้ครั้งนั้นผมได้คะแนนความน่าเชื่อถือของข้อมูลต่อสาธารณะเกือบเต็ม 100%
ทำไมคนถึงเชื่อผมมากกว่ารัฐบาล?
แค่ฝ่ายค้านที่กล้าเพียงคนเดียว เชื่อเถอะครับ ว่าสามารถล้มรัฐบาลได้ แต่ฝ่ายค้านคนนั้นต้องมี 3 อย่างประกอบกันถึงจะถล่มรัฐบาลได้ไม่ว่าเรื่องไหน
ไม่มี 3 อย่างนี้ ก็ยากที่จะคิดไปล้มตอ
หากจะไปเอาเรื่องที่ชาวบ้านจับต้องไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องใกล้ตัว มันไม่มีแรงกระเพื่อมแต่อย่างใด
เมื่อมวลชนไม่มี นักการเมืองพูดไปก็ไร้ความหมาย
เหมือนคนดูมวย ชกไม่สนุก ไม่ต้องลุ้นตอนจบก็รู้อยู่แล้วว่าใครชนะ
แต่หากขยันปล่อยหมัด แม้ว่าแพ้คะแนน แต่ชนะใจคนดู
ครั้งหน้ารัฐบาลยิ่งกลัว รอจังหวะเผลอวันอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาลไม่ล้ม แต่หมดความน่าเชื่อถือ
รอนับวันเลือกตั้งใหม่