เก้า พูดแล้ว! ทำผมทรง Dreadlocks เพราะอะไร?
อยู่ๆนักแสดงหนุ่ม"เก้า จิรายุ" ก็เปลี่ยนลุคตัวเองจนทำให้หลายคนตกใจกับลุคใหม่ของเขานั่นก็คือเก้าไปถักเปีย Dreadlock ทั้งหัวและโพสต์ภาพอวดแฟนๆบนอินสตาแกรม งานนี้หลายคนก็ชอบแต่มีอีกหลายคนที่ไม่ชอบ หนุ่มเก้าจะว่าอย่างไรบ้าง
ล่าสุดเจอตัวหนุ่มเก้ากับทรงผมที่ปกติเพราะเขาได้เปลี่ยนลุคกลับมาโดยการถอดผม Dreadlock ออกหลังจากทำมาได้ 2-3 สัปดาห์ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำเขาถึงปรับลุคไปมาบ่อยหรือว่าที่ถอดผมออกเพราะคุณแม่และแฟนคลับไม่ปลื้มหรือเปล่า งานนี้เก้าก็บอกว่า ที่เขาต้องทำผม Dreadlock เพราะว่าถ่ายงานทำทีเซอร์เสนองาน พอถ่ายงานเสร็จเลยถอดผมออกเพราะมีธุระอย่างอื่นอีก ส่วนเรื่องแฟนคลับหรือแม่ไม่ปลื้มนั้นไม่เกี่ยวกันเพราะจริงๆแล้วฟีดแบคคนชอบมากกว่าที่คิดไว้เยอะค่ะ
วันนี้เห็นว่าเราเปลี่ยนทรงผมใหม่แล้ว
"ก็แค่ทำเฉยๆ ครับ แต่จริงๆ ผมก็คุยกับผู้กำกับฯ เรื่องถัดไปแล้วแหละ และเหมือนเขาก็อยากจะได้ทรงผมใหม่ ผมก็เลยทำ แต่ด้วยความที่ตอนนี้ผมต้องทำธุระอย่างอื่นก่อน ก่อนที่จะถ่ายเรื่องนั้น ผมก็เลยต้องเอาออก หลังจากที่ทำมาได้ประมาณ 2-3 สัปดาห์"เป็นเพราะเราอยากลองเปลี่ยนทรงผมมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วด้วยไหม
"ผมแค่ไม่ได้คิดอะไรมาก มากกว่าครับ และมันก็เป็นช่วงเวลาที่ผมสามารถทำได้เฉยๆ ผมก็เลยลองทำดูก็เท่านั้นเอง ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ"
คุณแม่เรามีฟีดแบคยังไงบ้างกับผมทรงนี้
"คุณแม่ไม่ได้ว่าอะไรเลยครับ"
เป็นทรงผมขัดใจคุณแม่เลยหรือเปล่า
"ไม่ครับ ไม่นะ แต่ขัดใจคนอื่นมากกว่าคุณแม่ผมอีก (หัวเราะ) อารมณ์ประมาณว่ามันก็ยังมีคนที่เขาอยากเห็นเรา ในแบบที่เขาอยากเห็น"
มีฟีดแบคจากแฟนๆ มาถึงเรายังไงบ้าง สำหรับผมทรงนี้
"ก็แปลกดีเหมือนกันครับ ผมคิดว่าคนน่าจะไม่ชอบเลย แต่ไปๆ มาๆ กลับมีคนชอบมากกว่าที่ผมคิด ก็ถือว่าแปลกดีครับ (หัวเราะ) ส่วนคนที่ไม่ชอบ อันนี้ผมก็ไม่รู้นะว่ายังไง คือมันอาจจะไม่ถึงขนาดว่าไม่ชอบขนาดนั้น เขาแค่รู้สึกไม่คุ้นกันมากกว่า ซึ่งตัวผมเองก็ไม่ได้รู้สึกซีเรียสอะไร เพราะยังไงมันก็ยังเป็นตัวผมอยู่ดี ไม่ว่าจะทำผมทรงไหนก็ตาม"
ส่วนตัวเราเองล่ะ ชอบผมทรงนั้นไหม
"ผมทำอะไรก็ได้ครับ เพราะผมก็ทำของผมเอง ไม่ได้มีใครบังคับ ซึ่งสิ่งนี้ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกดีที่สุดแล้ว"
แต่คนก็มองนะว่าที่เรารีบเอาออก ก็เป็นเพราะผมทรงนี้ขัดใจแม่
"ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ เอาออกเพราะต้องทำงาน"
จะมีโอกาสได้กลับไปเห็นเราทำผมทรงนั้นอีกไหม เพราะเราบอกว่าเกี่ยวกับทำงานด้วย
"ก็เป็นงานละครครับ ที่เหมือนต้องถ่ายทีเซอร์เพื่อไปขายสปอนเซอร์ก่อน ไม่รู้เขาอนุญาตให้ผมพูดไหมนะ (ยิ้ม) ก็คือมันคือการรับบทเป็นคนอื่น มันไม่ได้เป็นตัวเราเองที่จะทำอะไรก็ได้ ดังนั้นก็ต้องยอม เพราะถ้าไม่ทำงาน เราก็จะไม่มีข้าวกิน"
ยังมีอะไรในตัวเราที่อยากลองทำอีกไหม
"ยังไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่จริงๆ มันก็ขึ้นอยู่กับโอกาสมากกว่า เพราะถ้าหากมันถึงเวลานั้นจริงๆ เดี๋ยวทุกคนก็คงจะได้เห็นเอง ตกใจแน่นอน น้องเอ้ย!"
