วันที่ 23 ก.ค. 62 แหล่งข่าวในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวเนชั่นทีวี ถึงการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กรมการท่องเที่ยว (กทท.) โดยตั้งข้อสังเกตว่ามีการละเลยเพิกเฉยต่อการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ เนื่องจากทางกทท. พบการกระทำผิดของอีแอลซีครั้งแรก เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2561
หลังจากมีผู้เสียหายเข้าร้องเรียนว่าอีแอลซียังไม่คืนเงิน กระทั่งวันที่ 14 มิ.ย. 2562 จำนวนผู้เสียหายเพิ่มขึ้นเป็น 162 ราย จำนวนความเสียหายกว่า 55 ล้านบาท มีการคืนเงินให้ผู้เสียหายเพียง 21 ราย เป็นเงินเพียง 3 ล้านบาท แต่กทท. ก็ยังไม่ระงับยับยั้งความเสียหาย จนเรื่องราวลุกลามบานปลาย นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตการดำเนินการตามมาตรการทางปกครอง ของนายทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์กลาง ที่ได้มีคำสั่งที่ 8/2562 ลงวันที่ 15 พ.ค. 2562 ตักเตือนพฤติกรรมบริษัทอีแอลซี ไม่ให้ผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวรายนี้ กระทำให้เกิดความเสียหายกับนักท่องเที่ยวอีก
หากพบว่าหลังได้รับคำสั่งเตือนยังมีการขายรายการนำเที่ยว หรือทำให้เกิดความเสียหายแก่นักท่องเที่ยว นายทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวสามารถเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวได้ทันที แต่ปรากฎว่าบริษัทอีแอลซียังละเมิดคำสั่งนี้ ทั้งขายทัวร์ใหม่ และเรียกเก็บเงินเพิ่ม จนนำมาสู่การพักใบอนุญาตเป็นเวลา 1 เดือน ในวันที่ 12 มิ.ย. 2562 ทั้งที่ความจริง กทท.สามารถเพิกถอนใบอนุญาตได้ทันที หรือเรียกปรับเป็นครั้งคราวได้ แต่ก็ไม่มีการเปรียบเทียบปรับ ซึ่งจะนำไปสู่การเพิกถอนใบอนุญาตได้เช่นเดียวกัน ไม่ต้องรอให้คดีถึงที่สุด
ส่วนเจ้าหน้าที่ของกทท. จะมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับอีแอลซีหรือไม่ แหล่งข่าวในสตช. บอกว่า อยู่ระหว่างการตรวจสอบ แต่เบื้องต้นตำรวจมีหลักฐาน เป็นภาพถ่ายเจ้าหน้าที่ระดับสูงและระดับปฏิบัติการ 3-4 รายของกรมการท่องเที่ยว เคยใช้บริการทริปทัวร์ยุโรปกับทางอีแอลซี โดยมีทั้งช่วงเวลาก่อนและหลังจากผู้เสียหายเข้าร้องเรียน แต่ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด