วันที่ 2 ของการพาสื่อมวลชนเยี่ยมชม 'เขื่อนไซยะบุรี' วันนี้เราได้พบกับ ผู้บริหารบริษัท ซีเคเพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ บริษัทลูกของ ช.การช่าง ที่ลงไปในพื้นที่ 'เขื่อนไซยะบุรี' ด้วยตัวเอง
ท่ามกลางข้อถกเถียงว่าแม่น้ำโขงตอนล่างที่แห้งขอด ส่วนหนึ่งเกิดจาก การสร้างเขื่อนไซยะบุรี ขวางลำน้ำ กักเก็บน้ำไว้หรือไม่
ไม่มีใครคาดคิดว่า 'ธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์' กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) คนนี้ จะถึงกับต้อง สาบาน! ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 'หลวงพ่อ 7 กษัตริย์' ที่ประดิษฐานกลางเขื่อน เพื่อยืนยันกับสื่อมวลชน ว่าไม่ใช่ต้นเหตุของความแห้งแล้ง
เขาเริ่มไล่เรียงให้ฟัง ตั้งแต่เขื่อนเริ่มยกระดับน้ำ (จริงๆก็เก็บกักน้ำนั่นแหละ) ตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2561 ซึ่งเป็นช่วงน้ำหลาก เมื่อยกระดับน้ำมาถึงที่ 275 เมตร จากระดับน้ำทะเล น้ำที่ไหลผ่านเขื่อนหลังจากนี้ จะปล่อยหมดเพื่อผลิตไฟ หรือที่เรียกว่า Run of River Dam
เรื่องนี้ ดร.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา (สาขาวิชาการพัฒนาชุมชน) คณะมนุษยศาสาตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม นักวิชาการแนวหน้าที่ค้านเขื่อน มาตั้งแต่สมัยเขื่อนปากมูล มีความเห็นที่แตกต่าง
อาจารย์บอกว่า 'เขื่อนไซยะบุรี' ไม่ว่าจะเรียกว่าอะไร ก็ต้องปิดก้นแม่น้ำเพื่อกักน้ำไว้ และต้องมีพื้นที่น้ำท่วมเหนือเขื่อน
เขื่อนแบบนี้ก็คล้ายเขื่อนปากมูล ที่มีชาวบ้านสูญเสียบ้าน ที่ดินทำกิน หรือทั้งสองอย่าง 2,400 ครอบครัว เพราะการสร้างเขื่อนทำให้เกิดการกักเก็บน้ำ เพื่อยกระดับให้น้ำมีระดับแตกต่างกันเพื่อให้ปั่นกังหันได้ ทำให้เกิดน้ำท่วมเป็นแนวยาวสองฝั่งแม่น้ำ
แต่เขื่อนไซยะบุรีใหญ่กว่าเขื่อนปากมูลมากเพราะสร้างกั้นแม่น้ำโขงที่มีปริมาณน้ำมากกว่าแม่น้ำมูลเยอะมาก และตัวเขื่อนทำให้ระดับน้ำเหนือเขื่อนกับท้ายเขื่อนต่างกันได้ถึง 30 เมตร
การที่ต้องอพยพชาวบ้านถึง 2,100 คน ก็เท่ากับยืนยันว่าเขื่อนนี้ต้องมีการกักเก็บน้ำ ไม่เช่นนั้นจะอพยพคนทำไมให้เสียเงินในกระเป๋านักลงทุน ดังนั้น จะมาบอกว่า เขื่อนนี้เป็นเขื่อนทดน้ำ น้ำไหลเข้าเท่าไหร่ก็ไหลออกเท่านั้น มันไม่จริง ถ้าจะทำอย่างนั้นได้ก็ต้องทำแค่เอากังหันไปวางกลางน้ำ ระดับน้ำเหนือกังหันเท่ากับระดับน้ำท้ายกังหัน ไม่ต้องมีตัวเขื่อนคอนกรีตที่ทำให้น้ำต่างกันสูงกว่าตึกสิบกว่าชั้น ถึงจะกล่าวได้ว่าปล่อยน้ำออกเท่ากับน้ำไหลเข้า
กลับมาที่เขื่อนไซยะบุรี! วิศวกรเขื่อน บอกกับเราว่าเขื่อนยังไงก็มีข้อดี อย่างน้อยก็ยังนำน้ำมาใช้ประโยชน์ผลิตกระแสไฟฟ้า ดีกว่าปล่อยลงทะเลไปเสียเปล่าๆซึ่งปริมาณน้ำที่ไหลมาถึงหน้าเขื่อน แบ่งเป็นน้ำจากเขื่อนจิ่งหงประเทศจีน 60% และเป็นน้ำจากตามธรรมชาติ 40% โดยเฉลี่ยแล้วปริมาณน้ำที่ไหลผ่านหน้าเขื่อนจะอยู่ที่ 4,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ในขณะที่น้ำในแม่น้ำโขงทั้งหมด ที่ไหลลงสู่ปากแม่น้ำบริเวณประเทศเวียดนามจะอยู่ที่ 15,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที นั่นหมายความว่า ปริมาณน้ำในแม่โขงส่วนใหญ่มาจาก 'แม่น้ำสายย่อยที่อยู่บริเวณภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้' มากกว่ามาจาก 'จีน' !
ผู้บริหารบริษัทไซยะบุรีเพาเวอร์ คุณธนวัฒน์ กล่าวย้ำหลังสาบาน พูดต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หลวงพ่อ 7 กษัตริย์ ต่ออีกว่า สาเหตุที่ทำให้แม่น้ำโขงตอนล่างแห้งผิดปกติในปีนี้ ก็เป็นเพราะปรากฎการณ์เอลนีโญ ซึ่งประเทศลาวประสบภัยแล้งหนักที่สุดในรอบ 100 ปี! ประกอบกับเขื่อนจิ่งหง ประเทศจีน ปล่อยน้ำลงมาน้อยมาก..
เช่นนั่นก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า การปล่อยน้ำของเขื่อนจิ่งหง ที่ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าจะมากหรือน้อย เป็นความเสี่ยงของการผลิตไฟของเขื่อนไซยะบุรีด้วยเหมือนกัน ในวันที่เราลงไปทำข่าว มีน้ำไหลผ่านหน้าเขื่อนราว 1,600 - 1,700 ลบ.ม/วินาที ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย กว่า 1 เท่า
ปริมาณน้ำที่มีน้อยก็ทำให้ทางเขื่อนไซยะบุรียอมรับว่า อนาคตจะทำให้การผลิตไฟฟ้าไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ ที่ได้สัญญาส่งไฟให้ กฟผ. 1,285 MW และยืนยันว่า เขื่อนไซยะบุรีก็ได้รับผลกระทบจากความผันผวนจากการปล่อยน้ำของเขื่อนจิ่งหง
อย่างไรก็ตาม ที่แม่น้ำโขงตอนล่างแห้ง ก็นับเป็นผลมาจากเขื่อนทางตอนบนของจีนปล่อยน้ำลงมาน้อย ไม่ใช่เขื่อนไซยะบุรีกักเก็บน้ำ
แต่แหม.. ถึงขั้นที่ผู้บริหารเขื่อนไซยะบุรี ต้องมีการสาบดสาบานกันอย่างนี้ ทำให้ผมอดขนลุกไม่ได้เลยทีเดียว ไม่รู้เทวดา พญานาค จะคิดเห็นเรื่องนี้กันอย่างไร เห็นทีจะเกินความสามารถของผม ที่จะตามไปสัมภาษณ์ได้ครับ!
#วชิรวิทย์ #วชิรวิทย์รายวัน #Vajiravit #VajiravitDaily #Nation #NationTV