svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ข่าว

อุทยานฯชี้การโพสต์ขายน้ำตาพะยูนเป็นแค่การหลอกลวงโหนกระแส

16 กรกฎาคม 2562
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

อดีตหน.อช.หาดเจ้าไหม ระบุขบวนการล่าพะยูนเพื่อเอาเขี้ยวเชื่อว่าหมดไปแล้ว ชี้การโพสต์ขายน้ำตาพะยูนเป็นเพียงการโหนกระแส อย่าเอาสิ่งที่เกิดขึ้นที่มันสูญหายไปแล้วกลับขึ้นมาขาย เพื่อโหนกระแสให้กับคนที่ไม่รู้ เพราะไม่เกิดประโยชน์อันใดกับสิ่งที่ทุกคนรักและหวงแหนกันทั้งประเทศไทย

(16ก.ค.62) จากการกรณีกระแสข่าวว่ามีขบวนการล่าพะยูนเพื่อตัดเขี้ยวเอาไปขาย และมีการนำน้ำตาพะยูนมามาโพสจำหน่ายในอินเตอร์เน็ตอย่างแพร่หลายจนหลายคนเข้าใจว่า สิ่งเหล่านี้ยังมีอยู่จริง จึงได้ออกมาต่อต้านและไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว ทางด้านดร.มาโนช วงษ์สุรีรัตน์ อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ผู้เชี่ยวชาญเรื่องพะยูนในจังหวัดตรัง กล่าวว่า จากประสบการณ์ที่ตนเองทำงานด้านพะยูนมา การล่าพะยูนมาจาก3ส่วน คือ1.ล่าพะยูนเพื่อจะกินเนื้อ2.ล่าพะยูนเพื่อจะเอาเขี้ยว และ3.เมื่อได้ซากมาแล้ว ก็จะเอาน้ำตา แต่ทั้งข้อ1และข้อ3คือ ทั้งเนื้อและน้ำตา จะต้องได้ซากในเวลาเดียวกัน น้ำตาคือมีซากแล้วมาเอาตอนที่ยังไม่เคลื่อนย้าย หรือฝั่ง ส่วนเขี้ยว พบเมื่อพะยูนตายก็ต้องมาแยกย่อยทั้งนี้ เรื่องการล่าเอาเนื้อ ตนเชื่อว่าในขณะนี้ ครอบครัวที่อยู่ชายฝั่ง ครอบครัวใดมีเนื้อพะยูนอยู่ในครัวตัวเอง ถือเป็นของร้อนไม่ใช่เรื่องง่าย ในการที่จะเอาเนื้อพะยูนที่ชำแหละเอาไว้ในบ้านเพื่อเอาไว้กิน เพราะฉะนั้นในเรื่องของการชำแหละกินเนื้อพะยูน ในขณะนี้ตนเองเชื่อว่าประเทศไทยเราน่าจะเกือบจะสูญพันธุ์ไปแล้ว ส่วนที่2คือ การล่าเอาเขี้ยว การล่าเอาเขี้ยวถ้าตั้งใจล่าไม่ใช่เรื่องง่าย จะต้องทำงานเป็นทีมมีเรืออย่างน้อย1-2ลำ คนทำจะต้องเข้าไปฝังตัวในชุมชนและในพื้นที่ต้องให้ความร่วมมือจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ในการที่ชุมชนที่มีเทคโนโลยีขนาดนี้จะมีคนไปฝังตัวเพื่อล่าพะยูนเพื่อเอาเขี้ยวจึงเป็นไปได้ยาก แต่ในขณะเดียวกันถ้าพบซากพะยูนที่ตายแล้ว ชุมชนหรือคนที่พบนั้นอยากได้เขี้ยวพะยูนก็มีการเลาะเอาไป ถือว่าไม่ใช่เป็นการล่า แต่เป็นการขโมยชิ้นส่วนไปซากสัตว์ป่า ดังนั้น พบพะยูนตายแล้วเอาเขี้ยว หรือล่าเพื่อเอาเขี้ยว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะมีการตั้งฝ่ายสืบสวนสอบสวน เพื่อนำสืบให้กระจ่างชัด
ส่วนตามเพจที่อ่านเจอที่มีการขายน้ำตาพะยูนขวดละ1,400กว่าบาทนั้น ส่วนตัวคิดว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่เป็นการฉวยโอกาสโหนกระแสเรื่องพะยูนมากกว่า เพราะไม่สามารถทราบได้ว่า ปริมาณของน้ำตาพะยูนปริมาณนิดเดียว เอามาผสมแล้วนำมาขายเป็นขวดละ1,400 -1,500บาท เอาส่วนไหนของพะยูนมา หรือว่าจะเอาน้ำอะไรมาก็ได้ เพราะฉะนั้นมันเป็นความเชื่อที่ผิดๆ โดยเรื่องดังกล่าวนี้เคยเกิดกระแสข่าวขึ้นมานานแล้ว ทั้งนี้ ประมาณปี พ.ศ.2530ขณะที่ตนเองทำงานก็มีการพบซากพะยูนในเวลาค่ำ ก็ปรากฏว่า มีชาวบ้านเดินมาถือไซริงค์ ตนก็ถามว่ามาทำอะไร เขาบอกว่าจะมาแทงที่ดวงตาของพะยูนเพื่อจะเอาน้ำตา ตนก็บอกว่ามันบาป คงไม่ได้ ก็ถามว่าเอาไปทำอะไร เขาบอกว่าเอาไปเข้ายา (เป็นภาษาใต้คือการนำน้ำตาพะยูนไปเข้ารวมกระบวนการทางยา) ภายหลังก็ได้นำสืบก็ได้ทราบว่าไปทำเกี่ยวกับยาเสน่ห์ หรืออะไรต่างๆ เป็นแค่ความเชื่อ และพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ บางคนนำผ้ามาเพื่อขอป้ายบริเวณดวงตา เพื่อเอาน้ำตา ซึ่งตนก็ไม่ยอมให้ทำ เพราะไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ดังนั้น จึงต้องมาช่วยกันรณรงค์ในเรื่องของความเชื่อผิดๆดังกล่าว เพราะขณะนี้วิทยาศาสตร์มันไปไกลแล้ว จึงเป็นแค่เรื่องการโหนกระแส เพื่อขายสินค้าหาผลประโยชน์ของบางกลุ่ม บางคน และเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ไม่ควรทำ เพราะไม่เกิดประโยชน์อันใดกับสิ่งที่ทุกคนรักและหวงแหนกันทั้งประเทศไทย โดยพะยูนควรอยู่คู่กับประเทศไทยตลอดไป

logoline