ทั้งนี้ ปัจจุบันมีเอฟทีเอที่ไทยลงนามแล้ว 13 ฉบับ กับ 18 ประเทศคู่ค้า โดยมีถึง 14 ประเทศที่ได้ยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเครื่องสำอางทุกรายการของไทยแล้ว ได้แก่อาเซียน จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และฮ่องกงซึ่งถือเป็นส่วนส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการปลดล็อกภาษีนำเข้าและสร้างแต้มต่อในการส่งออกสินค้าเครื่องสำอางของไทยส่งผลให้การส่งออกขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ส่วนอีก 4 ประเทศคู่เอฟทีเอที่เหลือได้แก่ เกาหลีใต้ อินเดีย ชิลี เปรู ยังคงเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเครื่องสำอางในบางรายการเช่น เกาหลีใต้ (เอสเซนเชียลออยล์จากโสมแดง ร้อยละ 603.4 สบู่และแชมพู ร้อยละ 5) อินเดีย(วัตถุดิบทำเครื่องสำอางประเภทสารที่มีกลิ่นหอม ร้อยละ 5) ชิลี(วัตถุดิบทำเครื่องสำอางประเภทสารลดแรงตึงผิว ร้อยละ 2.6) เปรู (ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและตกแต่งหน้าผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับเส้นผม น้ำหอมและหัวน้ำหอม ร้อยละ 6)
อย่างไรก็ตาม กรมฯพร้อมเดินหน้าผลักดันให้ประเทศคู่ค้าเปิดตลาดสินค้าเครื่องสำอางเพิ่มเติมให้ไทยภายใต้การเจรจาเอฟทีเอกรอบต่างๆ ทั้งการทบทวนความตกลงเอฟทีเอที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันและความตกลงเอฟทีเอที่อยู่ระหว่างการเจรจา เช่นการเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป)การเจรจาจัดทำเอฟทีเอกับตุรกี ปากีสถาน และศรีลังกา เป็นต้น
นางอรมนกล่าวว่าเมื่อเปรียบเทียบสถิติมูลค่าการส่งออกสินค้าเครื่องสำอางของไทยสู่ตลาดโลกในปี 2561กับปี 2535ซึ่งเป็นปีก่อนที่ความตกลงเอฟทีเอฉบับแรกของไทยกับอาเซียนจะมีผลบังคับใช้พบว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าเครื่องสำอาง เพิ่มขึ้นจากมูลค่า 91.6 ล้านดอลลาร์ เป็น 3,071.1 ล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้น 3,353%และในจำนวนนี้เป็นการส่งออกไปยัง 17 ประเทศที่ไทยมีเอฟทีเอด้วยมูลค่า 2,469.1 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วน 80.40%ของการส่งออกสินค้าเครื่องสำอางทั้งหมดของไทย