svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ต่างประเทศ

ปูติน จะไม่ปล่อยให้ สหรัฐฯ ยึดอิหร่านแน่

06 กรกฎาคม 2562
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

อยาตอลลาห์ อาลี คาห์เมนี ได้กล่าวว่า คำพูดโง่ ๆ ของผู้นำสหรัฐฯคนปัจจุบัน ต่อประเทศและประชาชนของเรา แสดงให้เห็นถึงความเป็นศัตรู ระหว่างเรากับสหรัฐฯ อย่างชัดเจน ดังนั้น ขณะนี้สหรัฐฯ คือศัตรู หมายเลข 1 ของอิหร่าน อย่างปฏิเสธ ไม่ได้ อิหร่านไม่มีวันยอมรับการข่มขู่เกี่ยวกับข้อตกลงนิวเคลียร์ ดังกล่าวอยู่เพียงฝ่ายเดียว เวลานี้ สหรัฐฯกำลังใช้ทุกวิถีทางที่มีแต่ความเลวร้าย เพื่อทำลายการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ดังกล่าว

ดูเหมือนว่าความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน จะยิ่งบานปลายมากขึ้นทุกขณะ โดยเฉพาะเหตุการณ์ การเข้ายึดเรือบรรทุกน้ำมันของอิหร่าน บริเวณน่านน้ำนอกชายฝั่งเกาะยิบรอลตาร์ ซึ่งอยู่ใกล้กับสเปน แต่ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นดินแดนของอังกฤษ  เหตุการณ์ดังกล่าวถูกตีแผ่ หลังจากที่ทางด้าน กระทรวงการต่างประเทศอิหร่านออกแถลงการณ์เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 4 กรกฎาคม 2562 ว่าเกิดกรณีเรือตรวจการณ์ของกองกำลังนาวิกโยธินสหราชอาณาจักรยึดเรือบรรทุกน้ำมัน เกรซ วัน ของอิหร่าน   โดยทางด้านอิหร่านได้ประณามการกระทำดังกล่าวของอังกฤษว่า เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เป็นการกระทำเยี่ยง "โจรสลัด"

ปูติน จะไม่ปล่อยให้ สหรัฐฯ ยึดอิหร่านแน่


หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวทางด้านรัฐบาลอิหร่านได้เรียกทูตอังกฤษเข้าพบทันที เพื่อสอบถามถึงเหตุผลของการยึดเรือบรรทุกน้ำมันดังกล่าว ก็ทราบว่าเรือเกรซ วัน ได้บรรทุกน้ำมันดิบประมาณ 2 ล้านบาร์เรล  โดยที่อังกฤษสงสัยว่าเรือลำดังกล่าวจะนำน้ำมันไปส่งให้กับซีเรีย อังกฤษอ้างว่า ถ้าเรือดังกล่าวมีจุดหมายปลายทางไปที่ซีเรีย ก็จะเป็นการละเมิดการคว่ำบาตรของสหภาพยุโรป ที่มีต่อซีเรีย 
แต่ท้ายที่สุดความจริงก็เปิดเผยว่า การลงมือของกองกำลังนาวิกโยธินอังกฤษ นั้นถูกทำตามคำสั่งของ สหรัฐฯ เนื่องจากทางด้านสเปนได้ออกแถลงการณ์ถึงเรื่องดังกล่าวในภายหลังว่า สเปนได้แจ้งความเคลื่อนไหวของเรือลำดังกล่าวไปยังอังกฤษ ตามคำสั่งของทางด้านสหรัฐฯ 
และน่าจะเป็นเรื่องที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพราะหลังจากข่าวดังกล่าวถูกเปิดเผยออกมาปรากฎว่านายจอห์น โบลตัน  ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติประจำทำเนียบขาว ได้ทวีตข้อความออกมาทันทีว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก ซึ่งหมายถึงข่าวที่อังกฤษได้ยึดเรือบรรทุกน้ำมันของอิหร่าน  ขณะที่ทางด้านอังกฤษ ได้ออกแถลงการณ์สั้น ๆ ถึงการถูกอิหร่านประณามว่าเป็นเรื่องไร้สาระ

ปูติน จะไม่ปล่อยให้ สหรัฐฯ ยึดอิหร่านแน่


วันนี้ อังกฤษ อาจจะต้องคิดใหม่ อาจจะไม่ไร้สาระ แบบที่ออกในแถลงการณ์เสียแล้ว เพราะทางด้าน นายโมห์เซน เราซาอี เลขาธิการสภาผู้มีอำนาจชี้ขาด ซึ่งเป็นหนึ่งในสภาที่ปรึกษาของรัฐบาลอิหร่าน ขึ้นตรงกับอยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุด ได้ออกมาบอกว่า ขณะนี้ทางด้าน กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่าน หรือ ไออาร์จีซี  จะจัดการเดินหน้ายึดเรือบรรทุกน้ำมันของอังกฤษ โดยจะไม่มีการลังเลอีกต่อไป และนี่จะเป็นการตอบโต้ที่อีกฝ่ายละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศก่อน ดังนั้นเวลานี้อังกฤษ จะต้องปล่อยเรือบรรทุกน้ำมันของอิหร่านทันที เพราะสิ่งที่อังฤษทำนั้น ทำไปเพราะถูกสั่งจากสหรัฐฯ ตามการเปิดเผยความจริงของสเปน
สำหรับการเดินเรือของเรือเกรซ วัน ที่ถูกอังกฤษเข้าจับกุมนั้น บรรทุกน้ำมันที่มาจากโรงกลั่นในอิหร่าน เดินทางทางผ่านทะเลในตะวันออกกลาง ลัดเลาะมาตามแนวชายฝั่งของทวีปแอฟริกา จนมาถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเป็นปากอ่าวที่จะเข้าสู่ประเทศซีเรีย จึงถูกตั้งข้อสงสัยว่าจะนำน้ำมันไปส่งให้กับรัฐบาลซีเรีย ภายใต้การนำของประธานาธิบดีบาซาร์ อัล อัสซาด ที่ถูกทางด้านสหภาพยุโรป และสหรัฐฯ ออกมาตรการคว่ำบาตร โดยบนเรือเกรซวัน มีลูกเรือทั้งสิ้น 28 คน ซึ่งจะถูกกักตัวไว้อย่างน้อย 72 ชั่วโมง และศาลสูงสุดของยิบรอลตาร์ ยังสามารถที่จะขยายเวลาออกไปได้อีก 14 วัน ก่อนที่จะตัดสินว่าพวกเขามีความผิดหรือไม่

ปูติน จะไม่ปล่อยให้ สหรัฐฯ ยึดอิหร่านแน่


เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำว่าสหรัฐฯ พยายามที่จะเดินหน้ากดดันอิหร่าน หรือยึดอิหร่านอย่างเป็นกระบวนการ โดยตัวเองเปิด แล้วก็ให้บรรดาสมุนที่เดินตามนั้นช่วยไล่ต้อน ให้อิหร่านเดินไปตามเกม หรือตามทางของตัวเอง หลังจากก่อนหน้านี้ได้ใช้ผู้นำญี่ปุ่นเข้าไปเจรจา แต่ทว่าไม่เป็นผล ผู้นำอิหร่านไม่เล่นด้วย ตามด้วยผู้นำฝรั่งเศส โทรไปกล่อมให้มีการพูดคุยเรื่องความขัดแย้ง และอิหร่านเองก็ปฎิเสธ เรื่องดังกล่าวไปเช่นกัน 
ในขณะที่ทางด้าน อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุด ก็ออกมาบอกว่า อาวุธ ในมือเท่านั้นที่จะทำให้สหรัฐฯ ไม่กล้าที่จะรุกรานอีกต่อไป และหลังจากนั้นทางด้านอิหร่านได้ออกมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่าพวกเขาได้สะสมสารตั้งต้นของนิวเคลียร์เพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่งแล้ว

ปูติน จะไม่ปล่อยให้ สหรัฐฯ ยึดอิหร่านแน่


ชัดเจนว่าอิหร่าน ไม่หวั่นต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และพร้อมที่จะตอบโต้สหรัฐฯ ในทุกรูปแบบ ดังนั้น ไม่แปลกที่สหรัฐฯ จึงพยายามเดินเกม ต่อเนื่องพร้อมกับหาพวก เข้ามาสู่ความขัดแย้ง เพราะถ้าหากอิหร่านหมดความอดทน และเกิดการปะทะจริง สหรัฐฯ จะได้ไม่ไม่โดดเดี่ยว ดังนั้นการที่อังกฤษ กระโดดเข้าร่วมเกมนี้ของสหรัฐฯ ก็เท่ากับพร้อมที่จะยอมรับกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า หากว่าเกิดการปะทะกันขึ้นระหว่างอิหร่านกับ สหรัฐฯ 
แต่เรื่องการเข้าบีบอิหร่าน เพื่อเข้าไปหาผลประโยชน์ในอิหร่านของสหรัฐฯ คงเป็นไปได้ยาก เพราะถ้าถึงเวลาหนึ่ง รัสเซีย จะกระโดดลงมาร่วมวงอย่างแน่นอน เพราะถ้าย้อนไปเมื่อ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ได้เดินทางเพื่อเยือนอิหร่าน จุดประสงค์ของการเดินทางเยือนครั้งนี้เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ  การพบกันระหว่างผู้นำสองประเทศ คาดกันว่าทั้งสองคนนั้นจะมีการหารือกันเรื่องของข้อตกลงนิวเคลียร์ และเรื่องราวอื่น ๆ โดยเฉพาะสถานการณ์ในตะวันออกกลาง และวิกฤตในซีเรีย เพราะทั้งสองประเทศต่างเป็นผู้ที่ให้การสนับสนุนทางด้านประธานาธิบดีบาซาร์อัล อัสซาด ของซีเรีย ซึ่งต่างจากทางด้าน สหรัฐฯ ตุรกี และชาติอาหรับอื่น ๆ ที่ต่างก็ต้องการโค่นล้มรัฐบาลซีเรีย ภายใต้การนำของบาซาร์อัล อัสซาด
ในขณะที่ในช่วงเวลานี้ ทางด้านผู้นำสหรัฐฯ อย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ ขู่ว่าจะถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ทำไว้กับอิหร่านเมื่อปี 2015 ซึ่งแน่นอนว่า รัสเซียเองก็เป็นมิตรรายใหญ่ ของอิหร่านในการเผชิญหน้ากับทางด้านสหรัฐฯ ที่ได้พูดถึงข้อตกลงนิวเคลียร์ ที่ทางสหรัฐฯ และ 6 ประเทศได้ทำร่วมกัน โดยรัสเซีย ก็เป็นหนึ่งในประเทศเหล่านั้น  นักวิเคราะห์ต่างมองกันว่า การเดินทางเยือนอิหร่านของผู้นำรัสเซียครั้งนี้ แสดงถึงความสัมพันธ์ ที่ทั้งสองประเทศมีต่อกัน และสิ่งสำคัญ อิหร่าน และ รัสเซีย จะได้ช่วยกันกำหนดอนาคตของตะวันออกกลาง ซึ่งถือเป็นประเด็นใหญ่ ที่ทางสหรัฐฯกำลังเพลี่ยงพล้ำทางยุทธศาสตร์ ต่อรัสเซียอย่างหนัก ขณะที่อิหร่านเองก็หวังที่จะพึ่งพารัสเซีย ในการเป็นประเทศที่จะคอยคลายแรงกดดันจากสหรัฐฯ
นอกจากเรื่องความมั่นคง และเรื่องยุทธศาสตร์ในตะวันออกกลางแล้ว การเยือนครั้งนี้ ผู้นำรัสเซีย ยังได้เดินหน้าหารือเพื่อเดินหน้ายกระดับความสัมพันธ์ ทางด้านเศรษฐกิจอีกด้วย และยังมีการเข้าร่วมประชุม 3 ชาติ นั่นคือ รัสเซีย อิหร่าน และ อาเซอร์ไบจาน
หลังจากนั้นเพียง 1 วัน วันที่ 2 พฤศจิกายน 2560 กรณีทางด้าน อยาตอลลาห์ อาลี คาห์เมนี ผู้นำสูงสุดของสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ได้กล่าวต่อครู อาจารย์ และนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน และมีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ กรณีทางด้าน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้พยายามแยกตัวเองออกจากชาติมหาอำนาจประเทศอื่น ๆ เพื่อที่จะรับรองต่อข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่าน ที่มีขึ้นในปี 2558 
อยาตอลลาห์ อาลี คาห์เมนี ได้กล่าวว่า คำพูดโง่ ๆ ของผู้นำสหรัฐฯคนปัจจุบัน ต่อประเทศและประชาชนของเรา แสดงให้เห็นถึงความเป็นศัตรู ระหว่างเรากับสหรัฐฯ อย่างชัดเจน ดังนั้น ขณะนี้สหรัฐฯ คือศัตรู หมายเลข 1 ของอิหร่าน อย่างปฏิเสธ ไม่ได้ อิหร่านไม่มีวันยอมรับการข่มขู่เกี่ยวกับข้อตกลงนิวเคลียร์ ดังกล่าวอยู่เพียงฝ่ายเดียว เวลานี้ สหรัฐฯกำลังใช้ทุกวิถีทางที่มีแต่ความเลวร้าย เพื่อทำลายการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ดังกล่าว หลังจากที่ทางด้าน อยาตอลลาห์ อาลี คาห์เมนี กล่าวจบ ปรากฏว่ามีเสียงตบมือจากคณะครู อาจารย์ และนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ดังสนั่นด้วยความชอบใจ
หลังจากนั้น วันที่ 5 พฤศจิกายน 2560 อิหร่านได้ตกลงเซ็นสัญญากับบริษัทน้ำมันและก๊าซของรัสเซีย อันเป็นการกระทำที่ช่วยขจัดปัญหาจาก การใช้กำลังเพียงฝ่ายเดียว ของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา และความพยายามของทรัมป์ที่ต้องการยุติข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างประเทศของอิหร่าน ะหว่างการเดินทางไปเยือนกรุงเตหะรานของ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีของรัสเซีย ซึ่งได้มีการเจรจาให้ทางด้าน บริษัทรอสแนฟท์ บริษัทผู้ผลิตน้ำมันของรัสเซีย และ บริษัทน้ำมันแห่งชาติของอิหร่านก็ได้เซ็นข้อตกลงมูลค่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ร่วมกัน
นอกจากข้อตกลงดังกล่าวแล้ว บรรดาบริษัทรัสเซียจะยังเดินหน้าศึกษาเกี่ยวกับน้ำมันและก๊าซของอิหร่านเพิ่มเติมต่อไป
ด้าน Bijan Namdar Zanganeh รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอิหร่านกล่าวว่า ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างอิหร่านกับรัสเซียที่กำลังเติบโต จะส่งผลให้การดำเนินงานต่อต้านอิหร่านของทรัมป์ล้มเหลวโดยเมื่อเดือนที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ประกาศว่าเขาจะไม่เซ็นสัญญาข้อตกลงด้านนิวเคลียร์กับอิหร่าน พร้อมปล่อยให้สภาคองเกรสพิจารณาเรื่องการคว่ำบาตรอิหร่านอีกครั้ง "การดำเนินงานระหว่างประเทศเช่นนี้จะสร้างความกดดันให้กับ "การใช้กำลังเพียงฝ่ายเดียว" ของสหรัฐอเมริกาเสียเอง"
แน่นอนว่าท้ายที่สุดแล้วทางด้านนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์ และยังได้คว่ำบาตรทางด้านอิหร่านอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับกดดันอิหร่านในทุกรูปแบบ แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ ไม่คาดคิดขึ้นมานั่นคืออิหร่าน กับ สหรัฐฯ ต้องจับอาวุธเข้าห้ำหั่นกันจริง เชื่อได้ว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย จะไม่ทิ้งให้อิหร่าน ต้องสู้รบแบบโดดเดี่ยว เพราะอิหร่านถือเป็นพันธมิตรหลักของรัสเซียในภูมิภาคแห่งนี้ ไม่นับรวมการลงทุน ที่มีกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์ แล้ว เมื่อปี 2559 ทางด้านรัสเซีย ยังได้ส่ง S-300 ซึ่งเป็นระบบป้องกันขีปนาวุธ จำนวนหนึ่ง มาติดตั้งไว้ในอิหร่านเรียบร้อยแล้ว นอกจากนั้น ยังมี ฝูงบินรบ Su-30 อีกจำนวนหนึ่ง ที่จอดรออยู่ในฐานทัพของอิหร่าน พร้อมทำศึกทันที หากเกิดเหตุการณ์ ไม่คาดคิด

logoline