ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลชุดใหม่จะไม่สามารถใช้มาตรการแทรกแซงในการดูแลเกษตรกรเพราะมาตรการแทรกแซงเกษตรกรทั่วโลกก็ทำกัน แต่การใช้มาตรการใดๆกับข้าวจะต้องระมัดระวังไม่บิดเบือนกลไกตลาดมากเกินไป หรือให้ใช้มาตรการที่บิดเบือนกลไกตลาดน้อยที่สุดเพราะถ้าใช้มาตรการที่บิดเบือนกลไกตลาดมากเกินไป เกษตรกรจะแห่ปลูกไม่รักษาคุณภาพข้าว และจะเกิดปัญหาเหมือนในอดีตที่เคยผ่านมา
"หากจะมีมาตรการใหม่ๆเข้ามาเสริมเพื่อพยุงราคาเช่น การประกันรายได้ ซึ่งเป็นนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยใช้มาก่อนจะต้องกำหนดแนวทางดำเนินการที่รอบคอบ รัดกุมที่สุด ทั้งการลงทะเบียนชาวนากำหนดราคาอ้างอิง และราคาข้าวในแต่ละช่วงที่จะขายซึ่งการกำหนดราคาจะต้องไม่สูงเกินไปจนกลายเป็นภาระของรัฐบาลเหมือนการรับจำนำข้าวที่ผ่านมา"
อย่างไรก็ตามสิ่งที่รัฐบาลชุดปัจจุบันได้เข้าไปแก้ไขปัญหาในเรื่องของระบบข้าวช่วง 5ปีที่ผ่านมา หรือตั้งแต่คสช.เข้ามาบริหารประเทศ คือ การระบายข้าวสารออกจากสต๊อกรัฐบาล18.6 ล้านตันได้สำเร็จ และไม่กระทบกับราคาตลาด จนทำให้รัฐบาลลดภาระในการจัดเก็บข้าวและยังแก้ไขอุตสาหกรรมข้าวทั้งระบบ ส่งผลให้การส่งออกข้าวไทยกลับมาเข้าสู่ภาวะปกติสามารถกลับมาเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 และอันดับ 2 ได้ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังต้องการให้รัฐบาลใหม่เดินหน้าแก้ปัญหาปากท้องให้กับประชาชนช่วยสร้างรายได้ให้ประชาชนมีเงินจับจ่ายใช้สอย ส่วนสินค้าอุปโภคบริโภคขณะนี้แทบไม่มีการขอปรับขึ้นราคาขาย แต่กรมการค้าภายในดูแลอยู่แล้วขณะที่ด้านการส่งออกนั้น ในปีนี้ การส่งออกของทั่วโลกลดลงหมดเพราะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว จากผลกระทบของสงครามการค้า แต่ไทยได้พยายามหาตลาดใหม่ที่ยังมีศักยภาพนำเข้าสินค้าไทย รวมถึงหาตลาดเมืองรองในตลาดหลัก ซึ่งมั่นใจว่ามูลค่าการส่งออกของไทยปี 2562 ยังคงขยายตัวได้ตามเป้าหมาย 3%
สำหรับการเจรจาการค้าระหว่างประเทศนั้นรัฐบาลใหม่ควรเดินหน้าเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับประเทศต่างๆให้มากขึ้น เพราะจะช่วงขยายการค้า การลงทุนของไทยได้มากขึ้นท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก การปกป้องการค้าที่มีมากขึ้นโดยเอฟทีเอแรกต้องทำให้เสร็จในปีนี้ คือ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค(อาร์เซ็ป)