svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ต่างประเทศ

โลกระส่ำแน่! หากสหรัฐฯ โจมตีอิหร่าน วินาศกรรมจะโผล่ดั่งเห็ดหน้าฝน

01 กรกฎาคม 2562
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

สัปดาห์ที่ผ่านมาบรรดาผู้นำโลก ต่างก็เดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ "G-20" ที่เมืองโอซาก้าของญี่ปุ่น แน่นอนว่า โดน้ลด์ ทรัมป์ ผู้นำญี่ปุ่น ก็ไม่พลาดงานนี้ เช่นเดียวกัน ซึ่งหลายคนก็จับตามองว่าการประชุมครั้งนี้ เป็นพิเศษ โดยเฉพาะการพบกันระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ กับทางด้านประธานาธิบดี สีจิ้น ผิง ผู้นำจีน ที่มีปัญหาเรื่องของสงครามการค้าระหว่างกันในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แต่ทว่าท้ายที่สุดสองผู้นำก็น่าจะตกลงกันได้ในการที่จะรอมชอม ระหว่างกัน หรือผ่อนคลายมาตรการ ที่ต่างบีบรัดระหว่างกันให้มากขึ้น เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่ได้ส่งผลดีต่อฝ่ายใดเลยแม้แต่น้อย

ข่าวเรื่องการประชุม G-20 ช่วยให้ข่าวความขัดแข้งระหว่างสหรัฐและอิหร่านที่กำลังตึงเครียดติดพัน นับตั้งแต่สหรัฐฯถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ อิหร่านกับ 6 ชาติมหาอำนาจโลกรวมถึงสหรัฐฯ เมื่อปี พ.ศ. 2558 ก่อนจะประกาศมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่ ความตึงเครียดเพิ่มสูงขึ้นหลังจากที่กองทัพอากาศอิหร่านยิงโดรนสอดแนมของกองทัพเรือสหรัฐฯ ตก เหนือเขตน่านน้ำอ่าวเปอร์เซีย หลังเกิดเหตุโจมตีเรือบรรทุกน้ำมัน 2 ครั้ง ในอ่าวโอมาน ซึ่งสหรัฐฯกล่าวโทษอิหร่าน แต่ฝ่ายหลังปฏิเสธไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
หลังจากนั้นทางด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่ เจาะจงที่ตัวอยาตอลเลาะห์ อาลี คาห์เมนี ผู้นำสูงสุด และนายโมฮัมหมัด จาวาด ซารีฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ
ก่อนหน้านั้น เมื่อช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2562 ทางด้านสหรัฐฯ ส่งกองเรือบรรทุกเครื่องบิน และเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ B-52 ที่บรรทุกระเบิดนิวเคลียร์ได้ ไปยังอ่าวเปอร์เซีย เพื่อตอบสนองต่อสิ่งที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯอธิบายว่า อิหร่านมีแผนโจมตีกองกำลังสหรัฐฯในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย
ข่าวการประชุมก็กลบข่าวกรณีสหรัฐฯ ได้ส่งฝูงเครื่องบินรบเทคโนโลยีสเตลธ์ F-22 แรปเตอร์ไปยังกาตาร์ ซึ่งเรื่องดังกล่าวถูกสั่งการเพียง 1 วันก่อนการประชุมG-20 โดยข่าวดังกล่าวถูกเปิดเผยในภายหลังจากทางด้านศูนย์บัญชาการกลางกองทัพอากาศสหรัฐฯ ซึ่งได้ออกแถลงการณ์ว่า งเครื่องบินรบเทคโนโลยีสเตลธ์ F-22 แรปเตอร์ ถูกเคลื่อนย้ายไปยังกาตาร์ เพื่อปกป้องกองกำลังและผลประโยชน์ของสหรัฐฯอเมริกา ในตะวันออกกลาง แต่แถลงการณ์ไม่ระบุจำนวนเครื่องบินที่ส่งไปครั้งนี้ นอกจากนั้นแล้วทางด้านศูนย์บัญชาการกลางกองทัพอากาศสหรัฐฯ ยังได้แจกจ่ายภาพถ่ายไปยังสื่อมวลชน ซึ่งเป็นภาพของฝูงบนรบ F-22 แรปเตอร์ จำนวน 5 ลำ ซึ่งบินอยู่เหนือฐานทัพอากาศ อัล อูเดอิด ในกาตาร์ ซึ่งระบุเวลาเป็นช่วงวันที่ 27 มิถุนายน 2562 นั่นเอง
การส่งฝูงบินรบ F-22 แรปเตอร์ เข้าไปยังกาตาร์ ครั้งนี้แน่นอนว่าเข้าไปเพื่อภาระกิจที่สหรัฐฯ นั้นวางเอาไว้แล้ว นั่นคือการเข้าไปเพื่อจัดการกับอิหร่านได้ทันท่วงที หากเกิดเหตุการณ์ การปะทะระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน ซึ่งกาตาร์นั้น เป็นประเทศที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับอิหร่านระหว่างอ่าวเปอร์เซีย แม้ว่าในช่วง 2-3 ปีให้หลังที่ผ่านมากาตาร์เองก็เอาใจออกห่างจากสหรัฐฯ และไปเข้าด้วยกับอิหร่าน รัสเซีย หรือแม้แต่ตุรกี แต่ทว่ากาตาร์เองก็ยังถูกบีบจากบรรดาสันนิบาติอาหรับ อยู่พอสมควร ที่จะต้องรักษาความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ รวมถึงบรรดาประเทศสมาชิกในสันนิบาติอาหรับ อย่างซาอุฯ หรือแม้แต่ยูเออี ดังนั้น การที่สหรัฐฯ นำเครื่องบินรบ จำนวนหนึ่งมาประจำการที่นี่ ย่อมมีเป้าหมายชัดเจน นั่นคือเป็นการปรามอิหร่าน ไปในตัว

โลกระส่ำแน่! หากสหรัฐฯ โจมตีอิหร่าน วินาศกรรมจะโผล่ดั่งเห็ดหน้าฝน


ก่อนหน้านี้ทางด้านอยาตอลเลาะห์ อาลี คาห์เมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ได้พูดไปเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2562 ที่ผ่านมาว่าสถานการณ์ระหว่างอิหร่านกับสหรัฐฯ หลังจากที่เขาถูกสหรัฐฯ ทำการขึ้นบัญชีดำไปเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2562 โดยที่เขาได้ยืนกรานปฏิเสธการเจรจากับสหรัฐฯ อีก เพราะสำหรับอิหร่านแล้ว การเจรจาตามความหมายของอีกฝ่ายคือกลลวงให้อิหร่านปฏิบัติตามความปรารถนาของสหรัฐฯ และสำทับด้วยการบอกว่าสิ่งเดียวที่จะทำให้สหรัฐฯ เกรงกลัวอิหร่านและไม่กล้ารุกรานนั่นก็คือการที่อิหร่านต้องมีอาวุธอยู่ในมือ และในเวลานี้อิหร่านก็กำลังถูกสหรัฐฯ ข่มขู่ให้อิหร่านวางอาวุธเหล่านั้นและศิโรราบให้กับสหรัฐฯ
นอกจากนั้นทางด้านคาห์เมเนอี ยังได้ประณามสหรัฐฯ อย่างเจ็บแสบว่า
"รัฐบาลสหรัฐฯ คือรัฐบาลที่ชั่วช้าที่สุดในโลก เป็นบ่อเกิดของสงคราม การนองเลือด และการแบ่งแยก และเป็นแบบนี้มาตลอดประวัติศาสตร์ การคว่ำบาตรล่าสุดถือเป็นความโหดร้ายต่อประชาชนอิหร่าน และอิหร่านจะไม่ถอยเพียงเพราะการดูถูกของสหรัฐฯ ส่วนข้อเสนอเจรจาของทรัมป์นั้น คือการหลอกลวงเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการ อาวุธในมือต่างหากที่จะทำให้สหรัฐฯ ไม่กล้าเข้าใกล้"
เขายังบอกว่าในฐานะเป็นบุคคลมีอำนาจชี้ขาดในกรณีสำคัญที่เกี่ยวข้องกับอิหร่าน การเจรจายังเป็นสิ่งที่จำเป็นและจะก่อให้เกิดผลประโยชน์มากกว่าการใช้กำลังทางทหารต่อกัน แต่นั่นคือการเจรจานั้นอิหร่านต้องได้ประโยชน์ด้วย
ในขณะที่ทางด้านนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาตอบโต้ คาห์เมเนอี ทันทีเช่นกันว่า
"สหรัฐฯไม่ต้องการทำสงครามกับอิหร่าน แต่ถ้าหากว่าจำเป็นสหรัฐฯ จะใช้เวลาไม่นานเพราะสหรัฐฯพร้อมทำการได้ทันที โดยที่สหรัฐฯจะไม่ส่งทหารภาคพื้นดินเข้าสู่อิหร่าน"
นอกจากนั้นแล้วโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ย้ำว่า คณะผู้ปกครองของอิหร่านเห็นแก่ตัวและงี่เง่า หากปฏิเสธแนวทางใหม่ที่คิดค้นโดยรัฐบาลของเขา แทนข้อตกลงนิวเคลียร์ฉบับปี 2558 ที่อิหร่านลงนามกับสหรัฐฯสมัยอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา
ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวนั้นทางด้านนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้นำสหรัฐฯ ถอนตัวออกมาเมื่อเดือนพฤษภาคม 2561 โดยให้เหตุผลสั้นว่า เป็นข้อตกลงที่เลวร้ายที่สุด
เวลานี้สถานการณ์บริเวณอ่าวเปอร์เซีย ยังคงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะสหรัฐฯ เคลื่อนไหวทางทหารอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ส่งกองเรือบรรทุกเครื่องบินมาอยู่ปากอ่าวโอมาน ส่งกำลังทหารเข้ามาในตะวันออกกลางอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดส่งเครื่องบินรบอีกจำนวนหนึ่งเข้ามาในพื้นที่ ดังนั้น อาจจะเป็นไปได้เช่นกันที่สหรัฐฯ อาจจะเปิดฉากโจมตีอิหร่านในเร็ววันนี้ แต่นั่นขึ้นอยู่กับการประเมินสถานการณ์ของหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯว่า โจมตีแล้วสามารถยุติเหตุทั้งหมดได้เร็ว อย่างที่โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าไว้ แต่ถ้าหากว่าโจมตีแล้ว "อิหร่านฆ่าไม่ตาย" บอกได้เลยว่าความ "ฉิบหาย" จะบังเกิดกับสหรัฐฯ และเครือข่าย โดยเฉพาะเครือข่ายธุรกิจของสหรัฐฯ ในพื้นที่ต่าง ๆ บนโลกนี้จะตกอยู่ในอันตรายอีกครั้ง สหรัฐฯ อย่าลืมว่าอิหร่าน ไม่ได้มีแต่กองกำลังที่เปิดเผยเท่านั้น อิหร่านยังมีกองกำลังแฝงอีกหลายกลุ่มที่ให้การหนุนหลัง และถ้าสหรัฐฯ โจมตีอิหร่านโลกจะต้องเผชิญกับเหตุก่อการร้าย หรือวินาศกรรม จะโผล่ดั่งดอกเห็ดหน้าฝน เหตุร้ายรายวัน ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้ง อย่างแน่นอน

logoline