เสียงพลุที่ดังสนั่นขึ้นในพื้นที่บ่อปลาของชาวบ้านดั้งเดิมย่านนิมิตใหม่ ซึ่งเป็นเขตชานเมืองของกรุงเทพฯ กลายเป็นสิ่งแปลกปลอมสำหรับหมู่บ้านมีรั้วที่ตั้งอยู่แนบชิดติดกันพื้นที่นิมิตใหม่ หนองจอกและคลองสามวา หากใครไม่เคยผ่านเข้าไป จะไม่ทราบเลยว่าที่นี่คือ "พื้นที่สีเขียวของกรุงเทพฯ" ชาวบ้านพื้นถิ่นดั้งเดิมยังคงประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทั้งการปลูกข้าวและเลี้ยงปลา แต่เมื่อความเจริญเติบโตของสังคมเมืองขยายตัวออกมา ผืนนาแปรเปลี่ยนเป็นหมู่บ้านมีรั้ว ทำให้วิถีชีวิตแบบเกษตรกรรม ปะทะเข้าอย่างจังกับวิถีคนเมือง เพราะพวกเขาต้องการกลับบ้านเพื่อพักผ่อนจากการทำงานหนักและการจราจรอันจอแจของกรุงเทพฯ ชั้นใน
อย่างเช่นเรื่องราวของกลุ่มลูกบ้านในหมู่บ้านปัญญาเลคโฮม ถนนนิมิตใหม่ แขวงสามวาตะวันออก พวกเขาได้รับผลกระทบจากการจุดพลุไล่นกของเกษตรกรเจ้าของบ่อปลา ซึ่งมีพื้นที่ติดกับหมู่บ้านแห่งนี้เพียงแค่แนวรั้วกั้นลูกบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านปัญญาเลคโฮม เล่าว่า เขาต้องอดทนกับเสียงพลุที่ดังสนั่นมานานกว่า 2 ปีแล้ว เพราะคนงานในบ่อปลาจุดพลุตลอดทั้งวันเพื่อไล่นกที่มากินข้าวในนาและกินปลาในบ่อ บางวันเริ่มจุดตั้งแต่ตี 5 ไปจนถึง 6 โมงเย็น
"เป็นปาก เป็นเสียง" เดินทางไปที่สำนักงานเขตคลองสามวา เพื่อสอบถามถึงแนวทางแก้ไขปัญหา ผู้อำนวยการเขต บอกว่า เตรียมจะเชิญกลุ่มลูกบ้านและเจ้าของบ่อปลา รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาพูดคุยเพื่อหาทางออกร่วมกัน เพราะนอกจากเรื่องการจุดพลุไล่นกแล้ว ยังมีปัญหาเรื่องการจุดไฟเผาตอซังข้าวอีกด้วยการรุกคืบของสังคมเมืองที่กลายเป็นการเผชิญหน้ากับวิถีชีวิตดั้งเดิม กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทย ไม่ต่างอะไรกับกรณีเสียงระฆังจากวัดวาอารามที่ดังรบกวนผู้พักอาศัยในคอนโดมีเนียมสูง จนกลายเป็นขาวใหญ่สะท้อนปัญหาเมืองใหญ่เมื่อปีก่อน การเปิดพื้นที่เพื่อพูดคุยกันอย่างมีมิตรจิตมิตรใจ คือทางออกเดียวในบริบทสังคม พ.ศ.นี้