svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ต่างประเทศ

จีนประกาศ พร้อมใช้กำลังทหารปกป้องทะเลจีนใต้

21 มิถุนายน 2562
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ความขัดแย้งระหว่างจีน กับ สหรัฐฯ ดูเหมือนว่าจะไม่จบลงง่าย ๆ เพราะขณะนี้จากปัญหาสงครามการค้า เริ่มจะขยายบานปลายไปสู่สงครามการใช้อาวุธ ได้เช่นกัน เนื่องจากสหรัฐฯ กำลังมองว่าการขยายอิทธิพลของจีนในทะเลจีนใต้นั้น ทำเกินไป ในขณะที่จีน เอง ก็ออกมายืนยันว่าพร้อมใช้กำลังทหารเพื่อจัดการใครก็ได้ ที่รุกล้ำอธิปไตยของจีนในทะเลจีนใต้


การประชุมสุดยอดด้านความมั่นคงเอเชีย ที่จัดขึ้นที่ประเทสสิงคโปร์ มีหลายเรื่องที่น่าสนใจ แต่เรื่องที่น่าจับตามองมากที่สุดนั่นก็คือความขัดแย้งระหว่างจีน กับสหรัฐฯ โดยในการประชุดดังกล่าวนั้น มีการพบปะของทางด้าน พล.อ.เว่ย เฟิ่งเหอ รัฐมนตรีกลาโหมจีนและนายแพทริค ชานาฮาน รักษาการรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ โดยทั้งสองได้พบปะเจรจากัน ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศ ทางด้านการค้าและความมั่นคง โดยการพบปะกันระหว่างรัฐมนตรีกลาโหมของจีนและสหรัฐ ในระหว่างงานเลี้ยงอาหารค่ำ การประชุม ไอไอเอสเอส แชงกรี-ลา ไดอะล็อก โดยก่อนการประชุมนั้นทางด้านา นายแพทริค ชานาฮานให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า การขยายเขตทหารของจีนในทะเลจีนใต้ ถือว่าเกินไป

ขณะที่การพบของทั้งสองนั้นถูกเปิดเผยจากทางด้าน พ.ท.โจ บัคซิโน โฆษกเพนตากอน หรือกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวว่า การพบปะเจรจานาน 20 นาที กับรัฐมนตรีกลาโหมของจีน นั้นเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ โดยได้หารือกันเกี่ยวกับ แนวทางในการสร้างความสัมพันธ์แบบกองทัพต่อกองทัพ ที่จะลดความเสี่ยงทางด้านความเข้าใจผิดและการคิดคำนวณผิดระหว่าง 2 ฝ่าย

แต่ทว่าหลังจากนั้นเพียงหนึ่งวันทางด้านนายแพทริก ชานาฮาน รักษาการ รมว.กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวต่อเวทีประชุมความมั่นคงแชงกรี-ลา ครั้งที่ 18 ว่าประเทศขนาดใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกยังคงมีพฤติการณ์คุกคามอธิปไตยของประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ในทะเลจีนใต้ ช่องแคบไต้หวัน และคาบสมุทรเกาหลี ในความเป็นจริงเพื่อส่งเสริมเสถียรภาพให้กับภูมิภาค รัฐบาลจีนควรเพิ่มความสัมพันธ์เชิงร่วมมือและสร้างสรรค์ แต่นโยบายของอีกฝ่ายกลับสื่อถึงการกัดกร่อนความมั่นคงในภูมิภาคมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

จากสถานการณ์ด้านความมั่นคงในภูมิภาคซึ่งตึงเครียดและขาดเสถียรภาพในระยะยาวตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา บางทีอาจเป็นผลจากการดำเนินนโยบายของประเทศนั้นเองก็เป็นได้ และรัฐบาลสหรัฐฯเพิ่มการลงทุนทางทหารในภูมิภาคแห่งนี้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นหนึ่งในหนทางของการสร้างเสริมเสถียรภาพในระยะยาว

นอกจากนั้นแล้วทางด้า่นผู้แทนระดับสูงของสหรัฐฯ ยังกล่าวถึงกรณีพิพาทเรื่องเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ กับจีนในเวลานี้ แต่ไม่ได้กล่าวพาดพิงจีนโดยตรง ว่าสหรัฐฯ เชื่อมั่นว่าหัวเว่ยเป็นบริษัทที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและแนบแน่นกับทางด้านรัฐบาลจีน

สำหรับการประชุมสุดยอดด้านความมั่นคงเอเชีย ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี ที่ทางด้านจีนส่งรมว.กระทรวงกลาโหมเข้าร่วมการประชุมแชงกรี-ลา ด้วยตัวเอง โดยทางด้าน พล.อ.เว่ย เฟิ่งเหอ รัฐมนตรีกลาโหมของจีน ได้ขึ้นเวที ตอบโต้ทางด้านสหรัฐฯอย่างตรงไปตรงมาว่า จีนพร้อมใช้กำลังทหารในการปกป้องคำกล่าวอ้างว่าไต้หวันคือดินแดนของจีนและข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ แม้ไม่ได้กล่าวพาดพิงโดยตรงถึงใครแต่ก็น่าจะหมายถึงสหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเรื่องการเคลื่อนไหวดังกล่าว เช่น สนับสนุนไต้หวันและยังอ้างถึงเสรีภาพของการเดินเรือในน่านน้ำที่เป็นข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือที่สำคัญ แต่จีนอ้างกรรมสิทธิ์ทั้งหมดในทะเลจีนใต้

รัฐมนตรีกลาโหมจีนกล่าวด้วยว่า กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนไม่ได้มีเจตนาที่จะสร้างปัญหากับใครทั้งนั้น แต่ก็ไม่ได้หวั่นเกรงหากต้องเผชิญกับปัญหา หากใครคิดจะเสี่ยงล้ำเส้นเข้ามา กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนก็จะตอบโต้อย่างถึงที่สุดและเอาชนะศัตรูทั้งมวล

พรรคคอมมิวนิสต์จีนพรรครัฐบาลที่ปกครองจีนยังยืนกรานว่า ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนและเคยใช้คำขู่รุนแรงกับไต้หวัน ซึ่งแยกตัวออกมาจากแผ่นดินใหญ่จากผลของสงครามกลางเมืองเมื่อ 70 ปีก่อน จีนจึงคัดค้านการแยกตัวเป็นเอกราชของไต้หวัน และเคยเสนอแนวทางรวมชาติอย่างสันติ แต่ก็ไม่ปฏิเสธเรื่องการใช้กำลังหากจำเป็นเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

ส่วนข้อพิพาทในเขตทะเลจีนใต้นั้น รัฐมนตรีกลาโหมของจีนกล่าวว่า จีนได้สร้างที่ตั้งทางทหารอย่างจำกัด โดยมีจุดประสงค์สำคัญเพื่อยกระดับการให้บริการและสาธารณูปโภคสำหรับคนที่อาศัยอยู่แถบนั้น ทั้งนี้เกาะแก่งแนวหินปะการังและสันดอนต่างๆ แทบจะไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ แต่ชาวประมงมักจะใช้เป็นสถานที่หลบภัยช่วงฤดูมรสุม

จากการประชุมครั้งนี้ คงจะแสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่า เวลานี้ จีนเอง ไม่ยอมอ่อนข้อให้สหรัฐฯ อีกต่อไป บรรดาตัวแทนของรัฐบาลจีน ที่ได้รับมอบหมายไปร่วมประชุมได้ตอบโต้สหรัฐฯ อย่างเผ็ดร้อน ตลอดการประชุม หลังจากนี้ต้องดูว่าสหรัฐฯ จะปรับเปลี่ยนท่าทีกับเรื่องดังกล่าวหรือไม่ หากว่าสหรัฐฯ ยังคงยืนตามแนวทางเดิม โอกาสการเผชิญหน้าของทั้งสองประเทศ ก็จะยิ่งมากขึ้นอย่างแน่นอน

logoline