วัดใจบอร์ดกทพ. ขยายสัมปทาน BEM 30 ปี
ในวันที่ 27 มิ.ย.นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย หรือบอร์ดกทพ. ซึ่งต้องติดตามว่าบอร์ดกทพ.จะผ่านร่างสัญญาขยายอายุสัมปทานทางด่วน 3 โครงการ เพื่อแลกกับค่าโง่ 4,300 ล้านบาท และ 17 ข้อพิพาทที่ยังไม่มีข้อยุติให้กับ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ หรือ BEM หรือไม่ หลังจากสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ตรวจสอบและได้ส่งร่างสัญญากลับมาพร้อมกับหนังสือตั้งข้อสังเกตการพิจารณาขยายอายุสัมปทานให้กทพ.พิจารณา เพื่อความรอบคอบแล้ว
ที่ผ่านมามีหลายหน่วยงาน รวมทั้ง สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ กทพ. ตั้งข้อสังเกตถึงขั้นตอนที่รวบรัดของบอร์ดในการผลักดันร่างสัญญาขยายอายุสัมปทานทางด่วน 30 ปีให้กับ BEM โดยมีความพยายามจะเสนอให้รัฐบาลชุดปัจจุบันพิจารณาอนุมัติ โดยสหภาพฯระบุว่า กทพ.ไม่ได้นำภาคผนวกท้ายสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณา หรือแม้แต่บอร์ดกทพ. กระทรวงคมนาคม และคณะกรรมการกำกับสัญญาตามมาตรา 43 แห่งพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ไม่เคยเห็นภาคผนวกดังกล่าวเช่นกัน สะท้อนให้เห็นถึงความเร่งรีบ และอาจจะสร้างความเสียหายให้กับกทพ.ตามมา
ล่าสุดสหภาพฯได้ยื่นหนังสือต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ชวน หลีกภัย เพื่อสนับสนุนหัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ นายแพทย์ ระวี มาศฉมาดล ที่ได้ร่วมยื่นญัตติต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาค่าโง่ทางด่วนจากกรณีที่กทพ. ตัดสินใจขยายสัมปทานทางด่วนให้กับ BEM แล้ว แต่ยังไม่สามารถบรรจุในระเบียบวาระได้ เนื่องจากต้องมีตัวแทน ส.ส.ทุกฝ่ายทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล รวมถึงตัวแทนจากรัฐบาลเข้าร่วมด้วย ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีรัฐบาลชุดใหม่ จึงเลื่อนญัตตินี้ออกไปก่อน
ขณะที่หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ ยืนยันว่าการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯเป็นแนวทางที่ดีที่สุด และจะยื่นเรื่องไปยังกระทรวงคมนาคม ให้รัฐมนตรีคนใหม่ที่คาดว่ามาจากพรรคภูมิใจไทย เร่งพิจารณา เพราะหากปล่อยปะละเลย จะส่งผลต่อภาพลักษณ์รัฐบาลและความเชื่อมั่นของประชาชนได้
ขณะที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ระบุว่า ได้ติดตามประเด็นการขยายอายุสัมปทานทางด่วนระหว่างกทพ.และ BEM มาตลอดและสนับสนุนการคัดค้านในครั้งนี้
หลังจากนี้ คงต้องจับตาการประชุมบอร์ดกทพ. ในวันที่ 27 มิ.ย.นี้ ว่าจะกล้าตัดสินใจผ่านร่างสัญญาขยายอายุสัมปทานทางด่วน 3 โครงการ โครงการละ 30 ปีให้กับ BEM หรือไม่ ท่ามกลางกระแสกดดันจากภาคสังคม ที่เห็นว่าการขยายสัมปทานดังกล่าว เป็นการเอื้อประโยชน์ให้เอกชน และอาจทำให้กทพ. เสียประโยชน์มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ทีมข่าวเศรษฐกิจเนชั่นทีวีรายงาน