นอกจากนี้ มีการกำหนดเงื่อนไขที่ขัดกับหลักการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์เช่นการกำหนดให้ผู้ที่นำเข้าข้าวสาลีและข้าวโพดภายใต้โควตาจะต้องผลิตในโรงงานของตนเองเท่านั้นและการไม่อธิบายรายละเอียดในการแบ่งปริมาณโควตาสำหรับเอกชนและรัฐวิสาหกิจโดยที่ผ่านมา China National Cereals, Oilsand Foodstuffs Corporation (COFCO) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่จัดสรรโควตานั้นไม่จำเป็นต้องคืนโควตาที่ไม่ได้ใช้ซึ่งเป็นการปิดโอกาสไม่ให้เอกชนได้รับการจัดสรรโควตาในส่วนนั้น ดังนั้นคำตัดสินของWTO ข้างต้น จะส่งผลให้จีนต้องปรับปรุงการบริหารโควตาให้มีความโปร่งใสคาดการณ์ได้ และเป็นธรรมมากขึ้น โดยเงื่อนไขและกระบวนการที่ชัดเจนและไม่ขัดขวางการใช้ปริมาณโควตาให้เต็มจำนวน
ทั้งนี้ น่าจะเป็นโอกาสของไทยในการขยายการส่งออกข้าวไปจีนเพิ่มขึ้นได้เพราะจีนมีการกำหนดโควตาภาษี โดยมีปริมาณโควตาปีละ 5.32 ล้านตันแบ่งเป็นข้าวเมล็ดสั้นและเมล็ดกลาง 7 รายการ 2.66 ล้านตัน และข้าวเมล็ดยาว 7 รายการ 2.66 ล้านตัน อัตราภาษีสำหรับสินค้าที่นำเข้าภายใต้โควตาอยู่ที่ร้อยละ 1และ 9 สำหรับปริมาณนำเข้าที่เกินโควตาจะเสียภาษีในอัตราร้อยละ 65
"คำตัดสินของ WTO เป็นกรณีศึกษาที่สำคัญซึ่งกรมฯ จะติดตามความคืบหน้ากรณีพิพาทนี้อย่างใกล้ชิดเนื่องจากกระบวนการระงับข้อพิพาทใน WTO ยังเปิดโอกาสให้มีการอุทธรณ์ได้ ซึ่งหากจีนอุทธรณ์คำตัดสินดังกล่าวก็อาจใช้เวลาอีกประมาณ1 ปี หรือมากกว่านั้น จึงจะทราบผลการตัดสินขั้นสุดท้ายซึ่งขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแต่งตั้งสมาชิกองค์กรอุทธรณ์จำนวน 6 ใน 7ตำแหน่งที่จะว่างลงในปีนี้ด้วย เนื่องจากจนถึงขณะนี้สมาชิก WTO ยังไม่สามารถเริ่มกระบวนการคัดเลือกสมาชิกองค์กรอุทธรณ์ในตำแหน่งที่ว่างลงได้เพราะมีการเชื่อมโยงกระบวนการคัดเลือกกับการหารือเพื่อปฏิรูปองค์กร WTO ในภาพรวม"นางอรมน กล่าว
สำหรับ ปี 2561 ไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับที่ 2 ของโลก รองจากอินเดียโดยไทยส่งออกข้าวสู่ตลาดโลกในปริมาณกว่า 11,089 ล้านตัน เป็นมูลค่า 5,619.1 ล้านดอลลาร์ขยายตัวร้อยละ 8.34 เมื่อเทียบกับปี 2560 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.02ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย โดยมีตลาดส่งออกหลัก อาทิ อาเซียน เบนิน และ จีนเป็นต้น