พล.ต.ต.พรชัย กล่าวว่า สืบเนื่องจาก ยุทธการสยบไพรี 62/11 เครือข่าย "ปั้นน้ําเป็นเงิน" ซึ่ง บก.ปส.2 บช.ปส. ได้ทําการ สืบสวนพบว่ามีกลุ่มนักค้ายาเสพติดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีพฤติการณ์ลักลอบค้ายาเสพติดให้กับลูกค้าในพื้นที่ โดยนํายาเสพติดมาจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาจําหน่ายให้ลูกค้าในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตลอดจนพื้นที่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และต่อเนื่องไปยังประเทศเพื่อนบ้านผ่านทางภาคใต้ของประเทศไทย มีการอําพรางตน โดยการทําธุรกิจเกี่ยวกับน้ําดื่มบังหน้า โดยผลิตจําหน่ายในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการนําเงินที่ได้จากการค้า ยาเสพติดไปลงทุนทํารีสอร์ทในพื้นที่ จว.กาฬสินธุ์ และโรงงานผลิตน้ําดื่มที่ประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนั้น กลุ่มเครือข่ายนี้ยังมีพฤติการณ์ ก่อเหตุอุกฉกรรจ์อย่างต่อเนื่อง โดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย เช่น ก่อเหตุอุ้มผู้หญิงที่เบี้ยว เงินค้ายาเสพติด ที่หน้าจวนผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ และมีการขู่ฆ่าทําร้ายเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ขัดขวางการค้ายาเสพติด ของกลุ่มเครือข่ายนี้
พล.ต.ต.พรชัย กล่าวต่อว่า ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ตํารวจได้ทําการจับกุมกลุ่มผู้ก่อเหตุได้ พร้อมยาบ้า 4,000 เม็ด และสืบสวนทราบ ว่าผู้หญิงที่ถูกอุ้มก็มีพฤติการณ์ เกี่ยวข้องกับยาเสพติดด้วยนอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตํารวจ สภ.กมลาไสย ได้ทําการจับกุมตัว บุคคลในเครือข่าย พร้อมยาเสพติดจํานวนหนึ่ง และจากการสืบสวนขยายผลพบข้อมูลว่ามีความเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายเดียวกันบก.ปส.2 บช.ปส. จึงได้ทําการสืบสวนสอบสวนขยายผลเพื่อจับกุมผู้ร่วมขบวนการ ได้ตัวผู้ต้องหาสําคัญในเครือข่ายดังกล่าว คือ นายชาญยุทธ เนาวบุตร และ น.ส.จันทร์เพ็ญ วิเชียรฉาย พร้อมยึดทรัพย์ จํานวนกว่า 34 ล้านบาท ส่วนนายภูษิต หรือบิว อินอ่อน หัวหน้าเครือข่ายได้หลบหนีไป ซึ่งจากการสืบสวนทราบว่าได้หลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้านจนมาจับกุมตัวได้ดังกล่าว
พล.ต.ต.ยิ่งยศ กล่าวว่า ผู้ต้องหาดังกล่าว ถือว่าเป็นหมายเลข 1 ของเครือข่าย "ปั้นน้ําเป็นเงิน" ซึ่งเป็นผู้บงการเครือข่ายทั้งหมด หลังจากเปิดยุทธการแล้ว ผู้ต้องหาก็ได้หลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ต่อมาก็ได้ประสานไปยังเจ้าหน้าที่ สปป.ลาว จนสามารถจับกุมตัวได้ในที่สุด ก่อนส่งให้ทางการไทยไปดำเนินคดี อย่างไรก็ตามจากการสอบสวนผู้ต้องหายังคงให้การปฎิเสธไม่รู้เรื่องการค้ายาเสพติด และทำธุรกิจขายนำ้ แต่จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินรวมถึงเครือข่ายพบว่าผู้ต้องหารายนี้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเครือข่ายดังกล่าวมีอิทธิพลในพื้นที่ทางภาคอีสานและภาคกลาง
"สำหรับพฤติการณ์ของผู้ต้องหารายนี้มีความโหดเหี้ยม อุ้มขบวนการค้ายาเสพติดหน้าจวนผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ และมีการขู่ฆ่ารวมถึงใช้กำลังทำร้าย ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย และมีสติปัญญาค่อนข้างเหนือชั้นกว่าผู้ต้องหารายอื่น เนื่องจากมีการพูดลักษณะข่มขู่เอาตัวรอดให้เจ้าหน้าที่หวาดกลัว นอกจากนี้เมื่อถูกเจ้าหน้าที่ สปป.ลาว จับกุมตัวแล้ว ก็พยายามฆ่าตัวตายด้วยการอดอาหารและนำ้ ซึ่งยอมตายดีกว่ามาถูกดำเนินคดีในประเทศไทย ส่วนผู้ต้องหาคนอื่นๆ ในเครือข่ายนี้ยังหลบหนีอยู่อีก 2 ราย โดยอยู่ระหว่างการติดตามจับกุมตัว" ผบก.ปส.2 กล่าว
เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาไปสอบสวน และเตรียมส่งพนักงานสอบสวน บช.ปส. ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป