โดยป้านี เล่าว่า กลุ่มมิจฉาชีพได้ทำมาซื้อไข่ของ ป้านี อายุ 64 ปี (เหยื่อ)เป็นประจำ จนเริ่มสนิทสนม และต่อมามิฉาชีพ มาขอยืมเงิน(เหยื่อ) ซึ่งป้าบอกว่าไม่มี มิจฉาชีพก็พยายามตื๊อ จนป้านี(เหยื่อ)บอกว่า มีโฉนดอยู่ 2 ใบ ซึ่งมีคนมาจำนำไว้นานมากแล้ว ลองเอาไปจำนำต่อดู ป้านี(เหยื่อ)ก็ให้ไป
ในเวลาไม่กี่สัปดาห์ มิจฉาชีพ กลับมาบอกกับเหยื่อว่า เอาโฉนดไปเช็คกับที่ดินมาแล้ว โฉนดฉบับดังกล่าวมีปัญหาอยู่กับแบงค์ ธกส.อยู่ เหยื่อต้องเอาเงินไปจ่ายให้กับแบงค์ ธกส. โดยถ้าจ่ายเงินสดไถ่ถอน จะได้โฉนดเพิ่มอีก 2 แปลง ซึ่งลูกหลานเจ้าของโฉนดที่มาจำนำไว้ จะยกให้โดยจ่ายเงินให้ลูกเขาประมาณหนึ่ง.... เหยื่อหลงเชื่อจนยอมให้โฉนดไป จากนั้นมิจฉาชีพ ก็พาเหยื่อไปเจอกับ พนง.ที่ดิน (คนแอบอ้าง) บอกว่า กำลังดำเนินการเรื่องที่ดินให้ โดยจะทำให้เป็นชื่อของเหยื่อทั้งหมด และขอค่าดำเนินการให้เจ้าหน้าที่ด้วย
ระหว่างรอดำเนินการ ก็มีนายทุนโทรมาทำทีขอติดต่อจะซื้อที่ดิน ซึ่งให้ราคาสูงมาก จากนั้นมิจฉาชีพได้เอาโฉนดมาให้เหยื่อ 1 ใบ ด้านหลังมีการแก้ไข เป็นชื่อของเหยื่อเรียบร้อย แต่สะกดชื่อผิด และต้องมีการแก้ไขชื่อใหม่อีกและนี้ว่าต้องเสียค่าจัดทำทำเพิ่มอีก รวมไปถึงค่าถมดิน ค่ากั้นลวดหนามในพื้นที่ของโฉนดดังกล่าว
ต่อจากนั้นผ่านไปประมาณ 1 อาทิตย์ มิจฉาชีพกลับมาบอกว่า ที่ดินมีปัญหาอีก มีการเกี่ยวพันกับการค้ำประกันในชั้นศาล โดยให้คนโทรมาแอบอ้างเป็นผู้พิพากษาเพื่อคุยกับเหยื่อให้หลงเชื่อ และบอกว่าเหยื่อต้องไถ่ถอนโฉนดจากศาลก่อน ถึงจะขายที่ดินดังกล่าวได้ และในช่วงระหว่างการตัดสินใจของเหยื่อรายนี้ ก็มีนายทุนโทรติดต่อขอซื้อที่ดินอยู่เรื่อยๆ จนเหยื่อตายใจ ยอมที่จะจ่าย แต่เรื่องก็ไม่จบ มิจฉาชีพยังอ้างต่อว่า ทนายบอกว่ายังมี โฉนดแปลงอื่นๆอีก จำนวน 7 แปลง ซึ่งเหยื่อต้องทำการไถ่ถอนให้หมด โดยให้ไปยืมเงินมาให้ได้ พอไถ่ถอนแล้วขายได้ ก็ได้เงินกลับคืนทันที
ในระหว่างที่เหยื่อกำลังหายืมเงินอยู่นั้น มิจฉาชีพก็แกล้งทำทีพาไปดูที่ดิน ที่ทางผู้พิพากษาอ้างว่าจะเป็นของเหยื่อ หลายแห่งด้วยกันโดยมีเจ้าพนักงานที่ดิน(แอบอ้าง) คอยให้ข้อมูลอยู่ด้วยทุกครั้งที่ลงพื้นที่ นอกจากนี้ก็ยังพาไปแบงค์ ธกส. เพื่อทำทีไปคุยติดต่อเรื่องที่ดิน และยังให้บุคคลที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐมายืนยันอีกด้วย ทำให้เหยื่อหลงเชื่อยอมโอนเงิน หรือแม้แต่ทางกลุ่มมิจฉาชีพอ้างขอเงินสด และจะต้องนัดจ่ายเงินในที่ลับตาคน หรือไม่ก็เป็นตามสถานที่ของหน่วยงานราชการเท่านั้น จนญาติๆ ของเหยื่อเริ่มสงสัย ว่าเหยื่อพยามยามยืมเงินญาติพี่น้องทุกคนเป็นวงเงินจำนวนมากไปไหน เลยได้มีโอกาสคุยกันกับเหยื่อ และคิดว่าเหยื่อต้องถูกแก๊งค์มิจฉาชีพหลอกอย่างแน่นอน เลยรีบพาเหยื่อไปแจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองพัทลุง
จากนั้นไม่นาน มิจฉาชีพก็ออกมายอมรับกับเหยื่อว่าโกงเงินไปจริง โดยขอนัดไกล่เกลี่ยเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยมีข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ร่วมเป็นพยานในการนัดคุยกัน ด้วย ยอดเงินที่มิจฉาชีพโกงเหยื่อไปทั้งหมด โดยประมาณ 4 ล้าน หกแสนบาท
และมิจฉาชีพยังเรียกร้องขออย่าให้ดำเนินคดีใดๆ และจะยอมเสียเงินตามเวลาที่กำหนดกันทุกบาททุกสตางค์ แต่พอถึงเวลาที่นัดตกลงกันไว้ กลุ่มมิจฉาชีพก็ไม่ได้ทำตามที่พูดตกลงไว้ก่อนหน้านี้ ประกอบกับทางเหยื่อเองไม่มีความรู้เรื่องกฎหมาย ไม่ค่อยรู้หนังสือ เลยยินยอม ด้วยความเครียด เพราะเงินที่หยิบยืมมา และต้องยอมรับภาระจ่ายดอกเบี้ยเองทั้งหมดจนถึงปัจจุบัน
และนอกจากป้านีแล้ว ยังทราบว่า กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ไปหลวกลวงต้มตุ๋นชาวบ้านในพื้นที่ จ.พัทลุง นครศรีธรรมราช และ จ.ตรังอีกหลายรายอีกด้วย
.
.