ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าวจะทำให้การค้าระหว่างไทยกับฮ่องกงแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ซึ่งฝ่ายไทยแจ้งว่า ฮ่องกงเป็น Free Port และเป็น Gateway สำคัญที่มีบทบาทในด้านการค้าและเศรษฐกิจจึงเห็นควรให้การสนับสนุนอีกทั้งเป็นเส้นทางสำคัญในด้านโลจิสติกส์เชื่อมโยงระหว่าง Greater Bay Area (GBA) และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรืออีอีซี ของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอีอีซีมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติมีการให้สิทธิพิเศษและกฎหมายในการคุ้มครองการลงทุนในพื้นที่ด้วยซึ่งปัจจุบันมีบริษัทในฮ่องกงที่ตั้งโรงงานในจีน เข้ามาแจ้งความจำนงค์ต้องการที่จะจอยท์เวนเจอร์และย้ายฐานการผลิตหลายรายมายังพื้นที่อีอีซี
นอกจากนี้รัฐบาลฮ่องกงได้ให้เงินสนับสนุนรายละ1 ล้านเหรียญฮ่องกงในการที่จะมาลงทุนในอาเซียน โดยไทยเป็นประเทศแรกๆที่ฮ่องกงต้องการนำผู้ลงทุนย้ายฐานการผลิตมา และจะมีคณะผู้แทนการค้าการลงทุนฮ่องกงเข้ามาศึกษาหาลู่ทางในประเทศไทยระหว่างวันที่ 8-10 ก.ค. โดยจะนำร่องโดยกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารชิ้นส่วนยานยนต์ และ อุปกรณ์ก่อสร้าง อาทิ ลูกบิดประตู ที่ต้องการหาจอยท์เวนเจอร์ในการผลิตโดยด่วน
"ในช่วงสถานการณ์ที่เกิดสงครามการค้าหรือเทรดวอร์ ไทยได้รับผลกระทบเชิงบวกในการย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังประเทศไทยโดยผู้ประกอบการในฮ่องกงขณะนี้ต้องการหารคู่ค้าทางธุรกิจเพื่อร่วมทุนในการผลิตโดยด่วนซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยในระยะต่อไป" นายบุณยฤทธิ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม การมีผลบังคับใช้เอฟทีเออาเซียน-ฮ่องกงในวันที่ 11 มิ.ย. จะนำมาซึ่งการกระตุ้นและอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างไทย -ฮ่องกง โดยเฉพาะ 77 สาขาบริการที่ฮ่องกงเปิดให้ถือหุ้นได้ 100% อาทิการผลิตสื่อรายการโทรทัศน์ดิจิทัล คอนเทนต์ บริการก่อสร้าง โทรคมนาคม และการเงินเป็นต้น