สื่อหลายสำนักในสหรัฐฯ รายงานว่า กูเกิ้ลได้ตัดสินใจระงับแผนการตัดความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับระบบแอนดรอยด์และแอพพลิเคชั่นต่างๆ กับหัวเว่ยออกไปก่อน โดยจะยังคงอนุญาตให้สมาร์ทโฟนของหัวเว่ยที่มีวางจำหน่ายในปัจจุบันสามารถอัพเดตซอฟต์แวร์และความปลอดภัยได้ต่อไปในช่วงนี้
การตัดสินใจของกูเกิ้ลมีขึ้นหลังกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ยอมออกใบอนุญาต ผ่อนผันให้หัวเว่ยและเกือบ 70 บริษัทที่เกี่ยวข้อง สามารถซื้อชิ้นส่วนและเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ ได้ต่อไปเป็นเวลา 90 วัน จนถึงวันที่ 19 สิงหาคมนี้ เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับลูกค้าหัวเว่ยในสหรัฐฯ ทั้งลูกค้าสมาร์ทโฟน และลูกค้าโครงข่ายโทรคมนาคม อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงห้ามหัวเว่ยซื้อฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ ในการผลิตสินค้าใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยเมื่อครบ 90 วันแล้ว กระทรวงพาณิชย์จะพิจารณาอีกครั้งว่าจะขยายระยะเวลาผ่อนผันออกไปอีกหรือไม่
ขณะเดียวกัน เหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งหัวเว่ยออกโรงด้วยตัวเอง ให้สัมภาษณ์สื่อในประเทศจีนระบุว่า การออกมาตรการผ่อนผัน 90 วันของสหรัฐฯ แทบไม่มีความหมายอะไร เพราะหัวเว่ยได้เตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ไว้แล้ว และการกระทำของสหรัฐฯ ในตอนนี้ถือเป็นการประเมินศักยภาพของหัวเว่ยต่ำเกินไป แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่า ชิปและชิ้นส่วนที่หัวเว่ยนำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็น 16 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด อาจหาผู้ผลิตทดแทนได้ยาก
ผู้ก่อตั้งหัวเว่ยย้ำด้วยว่า แม้หัวเว่ยจะเจอกับมาตรการจากสหรัฐฯ แต่ถ้าพูดถึงเทคโนโลยี 5จีแล้ว คงไม่มีบริษัทไหนที่ตามหัวเว่ยได้ทัน อย่างน้อยก็ภายใน 2-3 ปีข้างหน้านอกจากนี้ นายเหรินยืนยันว่า หัวเว่ยกำลังมีเรื่องกับรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ใช่บริษัทเอกชนในสหรัฐฯ โดยบอกว่าขณะนี้หัวเว่ยกับกูเกิ้ลกำลังหารือกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป พร้อมกับชื่นชมกูเกิ้ลว่าเป็นบริษัทที่มีความรับผิดชอบสูง และชมบริษัทแอปเปิ้ล ว่ามีระบบนิเวศทางธุรกิจที่ดี ขนาดตัวเขาเองยังซื้อไอโฟนให้คนในครอบครัวใช้เลย
ล่าสุดมีการประมาณการว่า มาตรการจำกัดไม่ให้ส่งออกเทคโนโลยีให้กับหัวเว่ยหรือบริษัทอื่นๆ จะส่งผลต่อยอดขายของผู้ผลิตในสหรัฐฯ สูงถึง 5 หมื่น 6 พันล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า และอาจกระทบต่อการจ้างงานราว 74,000 ตำแหน่ง