หากพิจารณาจากท่าทีของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ให้สัมภาษณ์เมื่อวานนี้ ระหว่างรับประทานอาหารร่วมกับนักข่าวก็จะพบร่องรอยของการตั้งรัฐบาล และวางตัว รมต.กันแล้ว โดยนายกฯ พูดชัดว่า กระทรวงหลักทั้งความมั่นคงและเศรษฐกิจ ควรอยู่กับพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ได้แก่กลาโหม มหาดไทย คลังและคมนาคม แถมยังแสดงเจตนาชัดเจนว่า ต้องการให้ "บิ๊กป้อม" และ "บิ๊กป๊อก" ร่วมงานใน ครม.ชุดใหม่ต่อไป ซึ่งแน่นอนว่าน่าจะคุมกระทรวงเดิม
สำหรับพรรคร่วมรัฐบาล จะมีทั้งหมด 20 พรรค และน่าจะกลายเป็นรัฐบาลที่มีพรรคการเมืองมาร่วมมากที่สุดในโลก จนถึงขณะนี้น่าจะยังมีปัญหาอยู่เพียงพรรคเดียวเท่านั้น คือ พรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากหัวหน้าพรรคคนใหม่ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ไม่เคยแสดงท่าทีชัดเจนว่าต้องการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ แถมยังมี ส.ส.กลุ่มคุณชวน หลีกภัย และกลุ่มคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องการให้พรรคประกาศท่าทีเป็น "ฝ่ายค้านอิสระ" ไม่สนับสนุน "บิ๊กตู่" เพราะจะกลายเป็นการสืบทอดอำนาจทหาร
ล่าสุดเมื่อวาน คุณเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ก็ออกมาโยนระเบิดอีกลูก ด้วยการตั้งเงื่อนไข 5 ข้อหากจะต้องเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ แต่ไล่ดูแล้วเงื่อนไขทั้ง 5 ข้อนั้น จริงๆ มีข้อเดียว คือ นายกรัฐมนตรีต้องไม่ใช่ "บิ๊กตู่" พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ส่วนเงื่อนไขอีก 4 ข้อที่เหลือ ไม่ใช่เงื่อนไข แต่เป็นการบรรยายเหตุผลว่าทำไม "บิ๊กตู่" ถึงไม่ควรเป็นนายกฯต่อไป และจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์กว่า 70 ปี ก็คือต่อสู้กับเผด็จการ
ท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ กำลังเป็นจุดเปราะบางที่สุดของการตั้งรัฐบาลพรรคพลังประชารัฐ เพราะคาดกันว่า แม้สุดท้ายพรรคประชาธิปัตย์จะตัดสินใจจับมือกับพรรคพลังประชารัฐจริง เสียงโหวตสนับสนุน "บิ๊กตู่" ก็น่าจะไม่ครบ 52 เสียง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ก็จะถือว่าอันตราย เพราะขั้วพลังประชารัฐ 20 พรรค นับแล้วมีเสียงมากกว่าขั้วเพื่อไทย 7 พรรคที่ทำสัตยาบันกันไว้เพียง 8 เสียงเท่านั้นเอง งานนี้ทำให้หลายคนประเมินว่าน่าจะมี "งูเห่า" ฟื้นคืนชีพอย่างแน่นอน