BBC เผยข่าวบทบาทของน้ำศักดิ์สิทธิ์ต่อพิธีบรมราชาภิเษก

ซึ่งพระราชพิธีครั้งนี้ทำให้คนไทยสามารถยืนยันได้ว่าประเทศมีประวัติศาสตร์มายาวนาน มีวัฒนธรรรมที่มั่งคั่ง และมีความใกล้ชิดระหว่างพระมหากษัตริยย์กับประะชาชนแต่โบราณนานมา สังคมไทยมักตั้งบ้านเรือนอยู่ริมฝั่งน้ำ ดังนั้น พิธีกรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีมากมายจึงมีน้ำเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเป็นเวลานานหลายสัปดาห์ ก่อนจะเริ่มพิธีบรมราชาภิเษก มีการนำน้ำมาจากแหล่งต่าง ๆ ทั่วประเทศไทยมากกว่า 100 แห่งในช่วงเวลา 11.52- 12.38 นาที ซึ่งถือกันว่าเป็นช่วงเวลาฤกษ์งามยามดีตามตำราโหราศาสตร์ของไทยจากนั้น น้ำจะถูกนำมาทำให้เป็นน้ำพระพุทธมนต์ในพิธีแบบพุทธตามวัดสำคัญ ๆ ก่อนที่จะถูกรวบรวมมาทำพิธีเพื่อความศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งที่วัดสุทัศน์ หนึ่งในวัดที่เก่าแก่ที่สุดของกรุงเทพน้ำศักดิ์สิทธ์นี้ถูกนำมาใช้ใน 2 พิธีกรรมสำคัญในพระบรมหาราชวัง พิธีแรกคือการนำน้ำมาอาบพระวรกายในหลวงเพื่อทำให้พระองค์เป็นผู้ที่บริสุทธิ์พิธีกรรมที่ 2 น้ำจะถูกนำมาราดรดพระกรในหลวงขณะที่ทรงประทับอยู่ที่ราชบัลลังก์ และทรงเครื่องมหากษัตริย์ โดยผู้ที่จะเป็นคนทำพิธีนี้ก็ประกอบไปสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี นายกฯประยุทธ จันทร์โอชา บุคคลสำคัญอื่น ๆ รวมทั้งพราห์ม รวม 8 ท่านซึ่งพิธีเกี่ยวกับน้ำนี้มาจากธรรมเเนียมของพราห์มที่ทำกันเมื่อหลายร้อยปีก่อน


สำหรับพิธีเกี่ยวกับพระมหาพิชัยมงกฎ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะใหม่กว่า และในฝั่งยุโรปก็เป็นที่นิยมทำกัน โดยพระมหาพิชัยมงกุฎ รัชกาลที่ 1 โปรดให้สร้างเมื่อปี 2325 เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ของความรับผิดชอบที่พระมหากษัตริย์ต้องแบกรับสำหรับพระแสงขรรค์ชัยศรี เป็นตัวแทนของสติปัญญาในการปกครองบ้านเมือง ซึ่งตามตำนานระบุว่า มีการพบพระแสงขรรค์ชัยศรีอยู่ในโตนเลสาบที่เสียมเรียบ และถูกนำมาถวายในหลวงรัชกาลที่ 1 โดยเมื่อมาถึง ปรากฏว่าเกิดฟ้าผ่าที่กรุุงเทพถึง 7 ครั้งติดต่อกันหลังจากที่ประกอบพิธีสวมมงกุฎ และพิธีกรรมต่าง ๆ เพื่อการเป็นพระมหากษัตริย์เสร็จสมบูรณ์แล้ว พระองค์จะมีพระปฐมบรมราชโองการเป็นครั้งแรก โดยในสมัยรัชกาลที่ 9 พระองค์ทรงตรัสว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม