เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 28 มี.ค. 62 ที่สำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 5 ต.หนองบัวศาลา อ.เมือง จ.นครราชสีมา กลุ่มผู้รับหมายรายย่อย จาก 4 จังหวัด ประกอบไปด้วย จ.เพชรบูรณ์ พิษณุโลก พิจิตร และอุตรดิตถ์ กว่า 20 คน นำโดยนายพันธยุทธ ใจนวน กลุ่มผู้รับเหมารายย่อยที่ได้รับความเดือดร้อน จากการถูกบริษัทผู้รับเหมาแห่งหนึ่ง ใน จ.อุตรดิตถ์ เบี้ยวค้าจ้างจากการติดต่อให้นำเครื่องจักรไปดำเนินการขุดลอกคลอง ที่รับงานมาจากสำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 5 เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง 4 แห่ง คือ จ.นครราชสีมา เดินทางมาเพื่อทำการไกล่เกลี่ยกับบริษัทผู้รับเหมาคู่กรณี โดยมีนายอดิศักดิ์ จันทรังษี ผู้อำนวยการทรัพยากรน้ำภาค 5 เป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ย และมีนายนวพล พัชรมิส ทนายความของนายบุญเสริม หอมเพียร ผู้ติดต่อรับงาน และนายประเสริฐ แก้วฟอง ทนายความ หจก.สุนิสาจุฬารัตน์การโยธา จ.อุตรดิตถ์ บริษัทผู้รับเหมาคู่กรณี มาร่วมพูดคุยไกล่เกลี่ยด้วย
นายพันธยุทธ ใจนวน กล่าวว่า ผู้รับเหมารายย่อย เมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2560 นายบุญเสริม หอมเพียร ว่าเป็นผู้รับมอบอำนาจจาก หจก.สุนิสาจุฬารัตน์การโยธา จ.อุตรดิตถ์ ให้มาว่าจ้างนำเครื่องจักรขุดลอกคลอง เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ซึ่งโครงการดังกล่าวรับงานมาจากสำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 5 โดยมีแบบในการขุดลอกคลอง ในพื้นที่ อ.โนนแดง จ.นครราชสีมา จึงรับงานและนำเครื่องจักร เป็นรถบรรทุก รถแบคโฮ และอุปกรณ์ต่างๆ ลงพื้นที่ดำเนินการตามสัญญาว่าจ้างทันที ซึ่งนายบุญเสริม ทำสัญญาว่าจะคิดค่าจ้างเป็นรายวัน และจะจ่ายเงินให้ทุกวันที่ 5 ของเดือนถัดไป แต่ปรากฏว่าไม่มีการจ่ายเงินให้ตามกำหนด มีจ่ายให้ไม่ครบเรื่อยมา เมื่อตนไปสอบถามแล้วก็อ้างว่าติดปัญหาเรื่องการจดทะเบียนจาก หจก. เป็นบริษัท
จนกระทั่งถึงเดือนเมษายน 2561 ก็ยังไม่ได้เงิน และมีเงินติดค้าง 2 ล้านบาท จึงได้นำเครื่องจักรออกจากพื้นที่งาน และได้ทราบว่าบริษัทแห่งนี้เบี้ยวค้าจ้างหลายพื้นที่ มีผู้เสียหายกว่า 40 ราย มูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท จึงได้ดำเนินการแจ้งความไว้ที่ สภ.อุตรดิตถ์ และได้รวมตัวผู้เสียหายร้องเรียนไปยังหลายหน่วยงาน อาทิ สำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 5 ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครราชสีมา และกรมสอบสวนคดีพิเศษDSIเป็นต้น จึงรวมตัวเพื่อมาไกล่เกลี่ยกับ หจก.สุนิสาจุฬารัตน์การโยธา และนายบุญเสริม หอมเพียร เพื่อที่จะขอค่าจ้างตามที่ได้ทำสัญญาไว้ทั้งหมด แต่ถ้าไม่ได้ตามที่เรียกร้อง ก็จะดำเนินการเข้าไปร้องเรียนที่กองปราบปราม และร้องทุกข์ที่สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ช่วยเหลือ
จากการเจรจาไกล่เกลี่ย ปรากฏว่า ทนายความ หจก.สุนิสาจุฬารัตน์การโยธา ได้อ้างว่าได้จ่ายเงินค่าจ้างทั้งหมดให้กับนายบุญเสริมแล้ว และไม่เคยรู้เรื่องการเบี้ยวค่าจ้างแต่อย่างใด จึงขอให้ไปฟ้องร้องค่าเสียหายกับนายบุญเสริมเอง ทำให้ผู้เสียหายไม่พอใจ ส่วนทนายความของนายบุญเสริม ก็ขอให้ผู้เสียหายรวบรวมหลักฐานค้างค่าจ้างทั้งหมดมาให้ และขอเวลา 1 สัปดาห์ ในการพูดคุยไกล่เกลี่ย ซึ่งทำให้ผู้เสียหายไม่พอใจเป็นอย่างมาก และเตรียมที่จะรวมตัวเข้าร้องเรียนต่อกองปราบปราม และร้องทุกข์สำนักนายกรัฐมนตรี
.