svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"เขตรัตน์" ซัด "นคร" ใส่ร้าย "สุเทพ"

04 มีนาคม 2562
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

เขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ โฆษกพรรครวมพลังประชาชาติไทย ลูกชาย "เอนก เหล่าธรรมทัศน์" โพสต์เฟซบุ๊กตอบกลับ "นคร มาฉิม" ในประเด็นที่นครโพสต์ถึง "สุเทพ เทือกสุบรรณ" ในทำนอง อย่าเป็นเครื่องมือรับใช้เผด็จการ

จากกรณีที่ "นคร มาฉิม" อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดพิษณุโลก ผู้สมัคร ส.ส. พรรคเพื่อไทย เขต 5 จ.พิษณุโลก โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว "นคร มาฉิม" ถึงนายสุเทพ เทือกสุบรรรณ ระบุ กลับตัวกลับใจมาช่วยฝ่ายประชาธิปไตยดีกว่า อย่าเป็นเครื่องมือรับใช้เผด็จการอีกต่อไปโดยระบุว่าผมได้อ่านบทความที่พี่เทพโพสต์ลงในเฟสบุ๊คอย่างละเอียดถี่ถ้วน หลายตอน หลายครั้ง ทำให้นึกถึงตอนที่พวกเราได้เคยอยู่ในพรรคการเมืองเดียวกัน ได้เคยร่วมคิด ร่วมต่อสู้มายาวนานสิบกว่าปีด้วยความเชื่อว่า พวกเรา คือความจริง คือความถูกต้อง คือประชาธิปไตยคนอื่นพรรคการเมืองอื่นที่เห็นต่างจากเรา เป็นคนเลว ไม่รักชาติ ไม่รักศาสน์ ไม่รักสถาบัน ไม่เป็นประชาธิปไตย
พวกเรา มีเครือข่าย ทั้งนายทุน ขุนศึก ศักดินา อำมาตย์ และข้าราชการระดับสูง รวมถึงองค์กรอิสระ และ กระบวนการยุติธรรมอยู่ในมือ เพรียบพร้อมทุกอย่าง พวกเรามีสื่อ สารมวลชนที่คอยรับใช้และมีคณะที่ปรึกษาระดับหัวกะทิ ชั้นนำของประเทศ คอยวางแผนช่วย และประดิษฐ์วาทกรรมเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองที่แหลมคม เหมาะกับยุคสมัย เช่น จำลองพาคนไปตาย , เผด็จการรัฐสภา , รวยแล้วโกง โกงทั้งโคตร , ทุจริตเชิงนโยบาย และ ระบอบทักษิณ ยุคก่อนวาทกรรม อาจทำให้พรรคของเราชนะการเลือกตั้ง เพราะคนอาจหลงเชื่อและ เป็นกระแส อีกทั้งสังคมยังไม่มีเครื่องมือสื่อสารแบบไร้ขีดจำกัดเช่นปัจจุบัน
แต่ในยุคสมัยปัจจุบันข้อมูล ข่าวสาร และการรับรู้ของประชาชนเท่าทัน และก้าวล้ำตามเทคโนโลยี ไม่มีใครจะหลอกลวงประชาชนด้วยวาทกรรมได้อีกแล้ว ความจริง และผลงานเท่านั้นที่คนส่วนใหญ่จะรัก เชื่อ และศรัทธา
เพราะฉะนั้น ตั้งแต่มีรัฐบาลนายกทักษิณ ปี 2544 เป็นต้นมา พวกเราแม้จะมีการสรรสร้างวาทกรรมสุดคลาสสิค สุขุม ลุ่มลึก เพียงใด มีสรรพกำลังทั้ง นายทุน ขุนศึก ศักดินา อำมาตย์ ระบบราชการ องค์กรอิสระและกระบวนการยุติธรรม สื่อสารมวลชนคอยช่วยหนุน ก็ไม่ได้ทำให้พวกเราชนะการเลือกตั้งจากประชาชนได้
ก่อนหน้านั้นพวกเราเคยร่วมกันพามวลชนเสื้อสีเหลืองมาสนับสนุน คุณสนธิ ขับไล่ รัฐบาลพลเรือน รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ที่มาจากการเลือกตั้ง พวกเราคว่ำบาตรการเลือกตั้ง ทำให้ระบอบประชาธิปไตยเดินต่อไปไม่ได้ สุดท้ายพวกเราและประเทศไทยของเรา กลับได้รัฐบาลเผด็จการ ที่มาจากการยึดอำนาจปล้นอำนาจของประชาชนไป โดยการนำของพลเอกสนธิ บุญญรัตตกลิน ได้รัฐบาลเผด็จการทหารที่นำโดยพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เมื่อ 19 กันยายน 2549
พวกเราพยายามสร้าง และใช้วาทกรรมว่าเผด็จการรัฐสภา ระบอบทักษิณ รวยแล้วโกง โกงทั้งโคตร ทุจริตเชิงนโยบาย และใช้ทุกสรรพกำลัง แต่ก็ยังแพ้การเลือกตั้งให้กับพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย
หลังสุดพวกเราได้พากันสร้างม็อบเป่านกหวีด แล้วพากันคว่ำบาตรการเลือกตั้ง ผมจึงไม่สามารถที่จะร่วมอุดมการณ์กับพี่ต่อไปอีกได้ เพราะผมเห็นว่า วิธีการดังกล่าว ไม่ใช่วิถีทางแห่งประชาธิปไตย จึงลาออกมา อยู่ฝ่ายประชาธิปไตย และเมื่อศึกษา วิเคราะห์ วิจัยตรวจสอบทุกอย่างแล้ว ผมจึงรู้ว่า พวกเราต่างหากที่ทำผิด คิดผิด ดำเนินการผิด เช่นการคว่ำบาตรการเลือกตั้ง เท่ากับเป็นการไม่เคารพเสียงของประชาชน เปิดช่องทางให้พวกเผด็จการทหารอ้างเป็นเหตุยึดอำนาจปล้นอำนาจประชาชนไป จนทำให้ประชาธิปไตยและประเทศไทยของเราพังพินาศ เป็นรัฐที่ล้มเหลวเป็นรัฐทหาร รัฐเผด็จการถึงทุกวันนี้
พี่กับอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อดีตรัฐมนตรีหลายคนพามวลมหาประชาชนรวมตัว รวมพลังกันเป่านกหวีด ปิดกรุงเทพ มีมวลมหาประชาชนบางส่วนขัดขวางการเลือกตั้ง สามารถล้มการเลือกตั้งได้สำเร็จ ซึ่งผมถือว่าเป็นความผิดพลาดในทางการเมืองมากที่สุด ต่างจากม็อบทั่วโลกที่เรียกร้องสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย แต่มวลมหาประชาชนกลับเรียกร้องหาเผด็จการ ให้ทหารมายึดอำนาจตัวเองและประชาชนทั่วไป
สุดท้ายสิ่งที่คนไทย และประเทศไทยของเราได้รับคือ การยึดอำนาจปล้นอำนาจของประชาชนไป ของพวกเผด็จการทหาร ที่นำโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในนาม คณะ คสช. ตั้งแต่ 22 พฤษภาคม 2557 และกดขี่ข่มเหง ปกครองจนถึงทุกวันนี้ ที่มีแต่สร้างสถานการณ์วิกฤติการเมือง วิกฤติเศรษฐกิจและ วิกฤติสังคม ทุกด้าน
เมื่อคณะคสช เผด็จการทหารครองเมือง พี่ก็รู้ว่าประชาชนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า เกิดวิกฤติทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง เกิดข้าวยากหมากแพงหากว่าพี่เทพ และมวลมหาประชาชน กปปส ยอมรับความจริง ไม่เห็นผิดเป็นชอบ ที่เป็นมิฐฉาทิฐิ และพิจารณาอย่างถี่ถ้วนด้วยสติปัญญาของทุกท่าน ต้องยอมรับความจริงว่า ปัจจุบัน คนไทยส่วนใหญ่เขาฉลาดและรู้ทันแล้ว วาทกรรมใส่ร้ายป้ายสีต่างๆ ไม่สามารถทำให้เราชนะการเลือกตั้งได้ ผลงานและการกระทำที่จริงจังที่ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุดและในวิถีทางประชาธิปไตยต่างหากที่จะทำให้ชนะใจประชาชน และชนะการเลือกตั้งได้
ที่แย่มากกว่านั้นคือพวกเราถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือของระบอบเผด็จการ ที่ใช้พวกเรา ทำลายประชาธิปไตยทำลายประชาชนแล้วเปิดทางให้เผด็จการทหารเข้ามายึดอำนาจปล้นอำนาจประชาชนไป ทำให้อำนาจประชาชนและประชาธิปไตยถูกทำลายลงอย่างน่าเศร้า
ผมจึงอยากให้พี่ และมวลมหาประชาชนจงละความเห็นผิด หยุดใช้วาทกรรม ทำลายนักการเมืองและพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย หยุดเป็นเครื่องมือรับใช้ระบอบเผด็จการ หยุดสร้างสถานการณ์และเงื่อนไขให้เกิดความไม่สงบที่อาจทำให้พวกเผด็จการอ้างเป็นเหตุในการยึดอำนาจซ้ำอีก
เพราะ เผด็จการรัฐสภา ไม่มีอยู่จริง ระบอบทักษิณไม่มีอยู่จริง เพราะระบอบประชาธิปไตย เสียงข้างมากได้เป็นฝ่ายบริหาร เสียงข้างน้อย ก็เป็นฝ่ายค้าน 4 ปีให้ประชาชนมาเลือกกันใหม่ ใครทำดี ประชาชนก็เลือกต่อ ใครทำไม่ดี ก็ไม่ได้รับเลือกตั้งว่ากันที่ผลงานที่จะทำให้ประชาชน แต่ระบอบประชาธิปไตยยังคงอยู่
ดังนั้น การเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคมนี้ ที่พี่เทพบอกว่า เอาระบอบทักษิณ หรือ ไม่เอาระบอบทักษิณ นั้นเป็นการใช้วาทกรรมเดิมๆ เป็นการตั้งโจทย์ผิด เพราะระบอบทักษิณไม่มีอยู่จริง มีแต่ระบอบประชาธิปไตย ใครที่ประชาชนส่วนใหญ่เลือก ก็เป็นรัฐบาล ใครได้รับเสียงส่วนน้อย ก็เป็นฝ่ายค้าน
ส่วนระบอบเผด็จการ ทหารนัน้องมีอยู่จริง เพราะเอาปืน มาปล้นอำนาจราษฏร ยึดอำนาจประชาชนไปจริงๆ
การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 24 มีนาคมนี้ จึงเป็นการต่อสู้ระหว่าง 2 ระบอบ คือ ระบอบประชาธิปไตย กับ ระบอบเผด็จการ ที่ประชาชนจะต้องเลือก ว่าจะเอาเผด็จการปัจจุบันให้สืบทอดอำนาจต่อไปให้ประชาชนไทยเป็นทาสไพร่ชั่วลูกชั่วหลาน หรือจะเลือกฝ่ายประชาธิปไตยที่ให้สิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคและโอกาสที่ดีกว่า ให้คนไทยและประเทศไทยของเราเจริญรุ่งเรืองเช่นอารยะประเทศ
ข้ามพ้นจากวาทกรรมเดิมๆ ข้ามพ้นระบอบเดิมๆแล้วพวกเรากลับตัวกลับใจมาช่วยฝ่ายประชาธิปไตย ดีกว่านะครับ อย่าเป็นเครื่องมือรับใช้เผด็จการอีกต่อไปเลย พี่เทพและพี่น้องมวลมหาประชาชน
นคร มาฉิม
อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิษณุโลก
อดีตประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองสภาผู้แทนราษฏร
2 มีนาคม 2562

ล่าสุด เขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์โฆษกพรรครวมพลังประชาชาติไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ - Katerut Laothamatas ตอบกลับ "นคร มาฉิม" ประเด็นโพสต์ดังกล่าว
ระบุว่าผมไม่รู้จัก คุณนคร มาฉิมเป็นการส่วนตัวนะครับแต่เมื่อท่านได้ออกมาพาดพิงพรรคเเละอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสายตาประชาชนได้ก็ขอตอบแบบคนกลางๆที่มองเรื่องนี้จากภายนอกถึงสิ่งที่ท่านพูดก็แล้วกัน
ผมจะไม่ดึงกลับไปไกลถึงรัฐบาลนายกทักษิณ ปี 2544 นะครับเพราะช่วงนั้นคือการต่อสู้ทางการเมืองระหว่าง 2 พรรคใหญ่ ดังนั้นสิ่งที่คุณนคร มาฉิมพูดมาทั้งหมดมันก็ไม่ผิดเสียทีเดียวหรอกเพราะนั้นคือมุมมองของ คุณนคร มาฉิมในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสังกัดพรรคเก่าพรรคแก่ที่ต้องการล้มอีกขั้วลงให้ได้ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม การกระทำเหล่านั้นที่คุณนครเล่ามาล้วนมีนัยยะทางการเมืองซ้อนไว้ซึ่งคือความต้องการที่จะได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล
แต่สิ่งที่ต่างกันระหว่าง ลุงกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ และ คุณนคร มาฉิม ได้เริ่มต้นขึ้นในช่วงปี 2556 ลุงกำนัน ตัดสินใจลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ แล้วร่วมลงต่อสู้กับพี่น้องมวลมหาประชาชนจริงๆเคียงบ่าเคียงไหล่ในฐานะประชาชนคนธรรมดาที่ต้องการหยุด "วงจรอุบาทว์ทางการเมือง" แต่คุณนครยังคงดำรงตำแหน่งอยู่ในพรรคเก่าพรรคแก่ยังคงเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ที่คอยเฝ้าจับตามองว่าหวยจะออกข้างไหน ดังนั้นผมจึงคิดว่าการที่ คุณนคร มาฉิมใช้คำว่า "เราได้พากันสร้างม๊อบเป่านกหวีด แล้วพากันคว่ำบาตรการเลือกตั้ง" ไม่มีน้ำหนักเพราะตัวคุณนครเองยังมีส่วนได้ส่วนเสียทางการเมืองต่างกับกำนันสุเทพที่ไม่มีผลประโยชน์ทางการเมืองเเล้วในการต่อสู้ครั้งนั้น
แล้ววันนี้ คุณนคร มาฉิมก็กลับมาแต่กลับมาในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทย สมาชิกพรรคที่คุณเคยสู้กับเขาด้วยวาทกรรมต่างๆนานา แต่ก่อนที่คุณนครจะย้ายไปพรรคนั้น ตัวคุณนครเองก็ได้ย้ายไปอีกพรรคที่มีจุดยืนกลางๆในช่วงปี 2557 มันก็แสดงให้เห็นได้ชัดเจนเเล้วครับว่าจุดยืนของคุณนครคือการได้เข้าสภาฯ มิใช่เพื่อพี่น้องมวลมหาประชาชนสิ่งที่พรรครวมพลังประชาชาติไทยทำทุกวันนี้ไม่ใช่การรับใช้เผด็จการทหาร แต่เราต้องการสร้างพรรคการเมืองที่มาจากประชาชน เกิดจากประชาชน ทำเพื่อประชาชน และเป็นของประชาชนเพื่อสานต่อภารกิจในการปฏิรูปประเทศของพี่น้องมวลมหาประชาชน
ลุงกำนันไม่ได้มีรายชื่อในการลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้ ลุงกำนันไม่ได้มีตำแหน่งใดๆในพรรคนี้นอกจากเป็นสมาชิกพรรคเท่านั้น สมาชิกพรรคที่ทำงานเพื่อพรรคเหมือนดั่งสมาชิกพรรคท่านอื่น เพราะพรรคนี้สมาชิก 30,000 กว่าคนล้วนมีความเป็นเจ้าของพรรค ทุกท่านเท่าเทียมกัน
ผมก็ใคร่อยากจะขอว่าอย่าสร้างวาทกรรมใหม่เลยว่าการเลือกตั้งครั้งนี้คือการต่อสู้ระหว่างฝ่ายเผด็จการเเละฝ่ายประชาธิปไตยแล้วพยายามสร้างความเข้าใจผิดให้กับพี่น้องประชาชนว่าพรรครวมพลังประชาชาติไทยนั้นเป็นฝ่ายเผด็จการ เพราะพรรครวมพลังประชาชาติไทยได้สร้างประชาธิปไตยภายในพรรคได้เเล้วดั่งที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญหมวด 1 มาตรา 3 "อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ" เราได้สร้างพรรคการเมืองที่ให้อำนาจประชาชนที่เคารพรักเเละเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ขึ้นมาได้เเล้ว นี้คือพรรคที่ไม่มีเจ้าของหรือนายทุนหนุนหลัง นี้คือพรรคที่เคารพรัฐธรรมนูญ นี้คือพรรคที่พร้อมทำตามกติกาที่มีอยู่
ดังนั้นถ้าพี่น้องประชาชนต้องการเห็นประชาธิปไตยที่จับต้องได้และไม่ใช่แค่คำพูดลอยก็ขอให้พิจารณากันที่โครงสร้างพรรค เจตนารมณ์ของพรรค อุดมการณ์ของพรรค และผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งของพรรค
เขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์
กองงานโฆษกพรรครวมพลังประชาชาติไทย

โดย เส้นทางสู่การเมืองของ "เขตรัฐ" ผ่านการเป็นนักวิชาการมาก่อน เช่นเดียวกับผู้เป็นพ่อ เพียงแต่เขาเลือกเข้าสู่การเมืองเร็วกว่าพ่อ
อาจารย์เอนก เข้าสู่การเมืองในวัยเกือบ 40 ปี โดยเริ่มจากตำแหน่ง "เบื้องหลัง" คือที่ปรึกษา "มารุต บุนนาค" ประธานสภาผู้แทนฯ และที่ปรึกษานักการเมืองคนอื่นๆ ก่อนจะค่อยๆ ก้าวมาอยู่แถวหน้าครั้งแรกในฐานะ "หัวหน้าพรรคมหาชน" แต่ "เขตรัฐ" เข้ามาตั้งแต่เขาอายุเพียง 29 ปี แถมเรียกได้ว่ามาอยู่ "แถวหน้า" เลย
การก้าวออกมาแถวหน้าครั้งแรกของ "เอนก" ถือว่าเขาไม่ประสบความสำเร็จเอาซะเลย ครั้งนั้นพรรคมหาชนได้ ส.ส.มาเพียง 2 ที่นั่ง ขณะที่หวังไว้ถึง 20 ที่นั่ง จนทำให้ "เอนก" ลาออกจากหัวหน้าพรรค แต่ก็เป็นจุดที่กระตุกให้ "เขตรัฐ" ลูกชายในวัย 15 ปี ที่กำลังเรียนอยู่ระดับไฮสคูลที่สหรัฐอเมริกา หันมาสนใจเรื่องการเมืองเป็นครั้งแรก
"วันที่พ่อแพ้การเลือกตั้งคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมสนใจการเมือง ทำให้ผมเกิดคำถามว่าทำไมคนคนหนึ่งที่อุทิศชีวิตเพื่อส่วนรวม ตั้งใจ ทุ่มสุดตัว แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จ หลังจากนั้นก็ตามข่าวการเมืองมาตลอด แต่ไม่ได้คิดว่าจะมาเล่นการเมือง" เอนก กล่าว

logoline