ทษช.ปราศรัยใหญ่ ไม่หวั่นลุ้นผลยุบพรรค 7 มี.ค.

1 มี.ค.62 - ที่ลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เมื่อเวลา 17.30 น.เศษ "นายจาตุรนต์ ฉายแสง" ประธานยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานคณะกรรมการรณงค์ หาเสียงพรรคไทยรักษาชาติ(ทษช.) และผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ให้สัมภาษณ์ก่อนการขึ้นปราศรัยใหญ่

โดย "นายจาตุรนต์ ฉายแสง" ประธานยุทธศาสตร์พรรค ทษช. กล่าวว่า การปราศรัยในวันนี้ และในครั้งต่อไปที่ยังมีอยู่ จะเป็นเนื้อหาที่ต่อเนื่องมาจากที่เราได้พูดกับประชาชนมาตลอด คือการพูดถึงนโยบายที่จะแก้ปัญหาประเทศ ซึ่งพรรค ทษช. เราจะพูดให้เห็นถึงความจำเป็นในการที่จะต้องหยุดการสืบทอดอำนาจของ คสช. หยุดยั้งการกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งหนึ่งของ พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา และจะพูดถึงการสร้างประชาธิปไตย การทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย สิ่งต่างๆเหล่านี้ เราได้เคยพูดมาแล้วก่อนหน้านี้และเราก็ยังจะพูดต่อไป โดยในเรื่องที่พูดนี้ก็ย่อมจะเป็นธรรมดาที่จะต้องมีการวิพากษ์วิจารณ์ทั้ง คสช. วิจารณ์รัฐบาล วิจารณ์พรรคการเมืองที่เป็นคู่แข่งกัน โดยจะเป็นการปราศรัยเพื่อสื่อสารกับประชาชน ซึ่งเรื่องที่พูดในการหาเสียงเลือกตั้งทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นการพูดประชาชน พูดกับสื่อ และการพูดบนเวทีปราศรัย ก็จะไม่มีเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวกับกรณีการยุบพรรค ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความคิดเห็นในแง่มุมใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการคาดการณ์ หรือการให้เหตุให้ผลหรือใดๆ ทั้งสิ้น เราจะไม่พูดถึง "นายจาตุรนต์" กล่าวอีกว่า เวลาที่มีคำถาม เราก็จะบอกเพียงแต่ว่าไม่มีความเห็นเท่านั้น ซึ่งเราได้ดำเนินการอย่างนี้ ชัดเจนมาโดยตลอดและก็ยังจะเป็นอย่างนี้ต่อเนื่องไป

เมื่อถามว่า ศาลรัฐธรรมนูญ ก็ได้นัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 7 มี.ค.นี้ แล้วได้วางแนวทางการหาเสียงของพรรคในช่วงดังกล่าวไว้อย่างไร "นายจตุรนต์" กล่าวว่า แนวทางหาเสียง ก็คือว่าเหตุใดประชาชนจึงควรจะสนับสนุนผู้สมัครพรรค ทษช. เหตุใดประชาชนจะช่วยกันยับยั้งการสืบทอดอำนาจของ คสช. แล้ว ทษช.มีนโยบายอย่างไร จะทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติอย่างไร ซึ่งทั้งหมดนี้จะไม่เกี่ยวอะไรเลยกับการตัดสินคดีในวันที่ 7 มี.ค.นี้

เมื่อถามย้ำว่า หากในวันที่ 7 มี.ค.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินยุบพรรคแล้ว พรรควางอนาคตไว้อย่างไร "นายจาตุรนต์" ประธานยุทธศาสตร์พรรค ทษช. กล่าวว่า เราไม่สามารถตอบคำถามนี้เพราะคำถามนี้จะเป็นคือการแสดงความเห็น โดยขณะนี้ทุกอย่างก็เป็นไปตามทางปกติของการหาเสียงเลือกตั้ง และเป็นเรื่องที่เกิดจากความจำเป็นที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ยังต้องการสื่อสารกับประชาชน ดังนั้นเราก็ทำหน้าที่ในการสื่อสารกับประชาชนในเนื้อหาที่คิดว่าเป็นประโยชน์ ในการหาเสียงเลือกตั้งต่อไป

เมื่อถามว่า ได้มีการเตรียมใจไว้บ้างต่อกรณีการนัดตัดสินคดียุบพรรคในวันที่ 7 มี.ค.นี้ "นายจตุรนต์" กล่าวว่า ไม่มีความเห็นเรื่องนี้อย่างที่ตนได้พูดไปแล้วว่า การเดินพบประชาชนก็ดี การพูดกับประชาชนก็ดี การพูดกับสื่อก็ดี การปราศรัยบนเวทีก็ดี ไม่มีมิติใดๆเกี่ยวกับการการยุบพรรค

เมื่อถามย้ำ อีกว่าในช่วง 6 วันก่อนที่จะถึงวันการวินิจฉัยคดียุบพรรค ยังจะคงหาเสียงต่อไปหรือไม่ อย่างไร "นายณัฐวุฒิ" ประธานคณะกรรมการรณงค์หาเสียง พรรค ทษช. กล่าวว่า สำหรับโปรแกรมการหาเสียงนั้น ผู้สมัครในบางเขตเลือกตั้งก็ขอเลื่อนกำหนดการจัดเวทีปราศรัยใหญ่ แต่ก็จะมีผู้สมัครอีกหลายเขตเลือกตั้งที่อยากจะให้แกนนำของพรรคไปลงพื้นที่พบปะประชาชน ดังนั้นกำหนดการลงพื้นที่หลังจากวันที่ 1 มี.ค.นี้ ก็จะปรับเปลี่ยนเล็กน้อย โดยวันที่ 2 มี.ค.เวลา 14.00 น. เราจะไปพบปะประชาชน ที่ตลาดสามชุก จ.สุพรรณบุรี ส่วนวันที่ 3 มี.ค. เวลา 08.30 น.ก็จะลงพื้นที่ พบปะพี่น้องประชาชนที่ตลาดน้ำดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ขณะที่ วันที่ 4 มี.ค.ผู้สมัคร จ.เพชรบูรณ์

ก็อยากให้พวกเราไปพบปะพี่น้องประชาชน ซึ่งอาจมีการจัดเวทีปราศรัยในระดับเขตเลือกตั้งด้วย และวันที่ 5 มี.ค.ก็จะเป็นไปตามกำหนดการเดิมคือการปราศรัยที่ จ.พังงา และภูเก็ต ซึ่งตนจะร่วมลงพื้นที่ทำงานร่วมกับผู้สมัคร และสมาชิกพรรค รวมทั้งผู้สนับสนุน โดยแนวทางเนื้อหาสาระและท่าทีก็จะเป็นไปอย่างที่นายจตุรนต์ระบุว่าจะเป็นการขับเคลื่อนภารกิจในสนามเลือกตั้งเช่นเดียวกับพรรคการเมืองอื่นๆ โดยไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาสาระของคดี หรือผลการพิจารณาคดียุบพรรคแต่อย่างใด

เมื่อถามว่า หลังทีการยื่นคดียุบพรรคแล้วการลงพื้นที่หาเสียง ประชาชนในพื้นที่ให้กำลังใจเราอย่างไรบ้าง "นายณัฐวุฒิ" กล่าวว่า เราพบว่าพี่น้องประชาชนตอบรับนโยบายของพรรค ตอบรับผู้สมัครของพรรค และเมื่อฝ่ายรณรงค์หาเสียง ของแกนนำของพรรคพี่ลงพื้นที่ไม่ได้พูดถึงกรณียุบพรรค ก็จึงไม่มีประเด็นนี้ในแต่ละพื้นที่โดยเราเน้นการสื่อสารในเรื่องนโยบายเรื่องแนวทางการแก้ปัญหาเรื่องหลักการประชาธิปไตยเท่านั้น

เมื่อถามถึงกรณีที่มีการวินิจฉัยให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถที่จะร่วมหาเสียงได้ "นายณัฐวุฒิ" กล่าวว่า ยิ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาช่วยหาเสียง ออกมาดีเบต ออกมาขึ้นเวทีปราศรัย ก็จะเป็นงานง่ายของพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ตอนนี้ที่ยังยากอยู่บ้างก็เพราะท่านไม่ยอมออกมา ท่านเลือกจะยืนอยู่ในพื้นที่ที่ท่านได้เปรียบอยู่ตลอดเวลาเท่านั้นเอง ตนเคยพูดแล้วในการแถลงที่พรรคว่า ทราบมาโค้งสุดท้าย พล.อ.ประยุทธ์ จะขึ้นเวทีเวทีปราศรัย ในนามของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งตนคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่เราหรือพรรคการเมืองอื่นๆ จะวิตกกังวล เราอยากเห็นภาพนั้น และเราอยากต่อสู้กันอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมาตามกระบวนการประชาธิปไตย ขณะที่การพูดปราศรัยของทุกพรรคการเมือง ก็ย่อมที่จะวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ได้หน่วยข่าวหน่วยงานความมั่นคง จึงควรยุติการประกบติดตามพรรคการเมือง หรือการมีปฏิกิริยาเมื่อมีการพูดถึง พล.อ.ประยุทธ์ โดยทันที เพราะท่านถือเป็นบุคคลสาธารณะ ท่านไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ

ในขณะเดียวกัน ตนขอเรียกร้องไปยังฝ่ายบ้านเมือง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยงานให้ติดตามพฤติกรรม ของพล.อ.ประยุทธ์ อย่างใกล้ชิด เพราะว่าการที่บุคคลซึ่งไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปนั่งอยู่ในทำเนียบรัฐบาล บางวันใส่เครื่องแบบของทางราชการ ตนว่าน่าจะมีปัญหา จะกลายเป็นบุคคลปลอมแปลงเป็นเจ้าหน้าที่ ของทางราชการหรือไม่ อย่างไร สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นวันนี้ เป็นการสะท้อน เหลวแหลกของประเทศด้วยอำนาจเผด็จการ เมื่ออำนาจเผด็จการต้องการที่จะสืบทอดอำนาจโดยไม่คำนึงถึงหลักการใดๆ ส่วนคำอธิบายของนายวิษณุ เครืองาม ไม่ได้เรียกว่าหลักกฎหมาย ไม่ได้เรียกว่าอภินิหารทางกฎหมาย แต่สิ่งที่นายวิษณุ กำลังอธิบายเพื่อช่วย พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ เรื่องการเป็นหรือไม่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ คือการเล่นอุจจาระต่อหน้าประชาชน นึกไม่ถึงว่านักกฎหมายอย่างนายวิษณุ จะออกมานั่งเล่นอุจจาระต่อหน้าต่อตาประชาชนได้มากมายถึงขนาดนี้ นี่คือความเลอะเทอะซึ่งจะปล่อยให้บ้านเมืองเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกไม่ได้

เมื่อถามย้ำถึงการตีความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐของพล.อ.ประยุทธ์ หรือไม่นั้น นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เข้าใจว่ามีผู้ดำเนินการอยู่แล้วเท่าที่ได้ติดตามข่าวจากสื่อมวลชน และหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยเฉพาะ กกต.ก็ควรจะพิจารณาวินิจฉัยโดยเร็ว "ซึ่งในใจผม นี่ก็ค่อนข้างเชื่อว่า กกต.จะวินิจฉัยว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นอย่างที่นายวิษณุ ได้ทำทางไว้ให้แล้ว ซึ่งกลายเป็นว่าอุจจาระที่นายวิษณุนั่งเล่น ก็จะเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปยังทุกคน ทุกองค์กรที่เกี่ยวข้อง"

ผู้สื่อข่าวรายางนว่า ระหว่างการขึ้นปราศรัยของแกนนำพรรค มีการเปิดวิดีทัศน์ แนะนำตัวผู้สมัคร ส.ส.ด้วย ขณะที่การปราศรัยส่วนใหญ่เน้นการหยุดยั่งการสืบทอดอำนาจ คสช. และแนวทางการแก้เศรษฐกิจ ซึ่งนายพิชัย นริพทพันธุ์ ระบุว่า หากเป็นรัฐบาลจะสนับสนุนการลดราคาน้ำมันดีเซล 5 บาท เบนซิน 3 บาท ช่วยค่าใช้จ่ายชาวบ้าน รวมทั้งการกล่าววิจารณ์ถึงนำเงินงบประมาณไปซื้อเรือดำน้ำด้วย