เนื่องจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้คาดการณ์ว่าด้วยสภาพภูมิอากาศในปี 2562 ค่อนข้างดีส่งผลให้ผลผลิตผลไม้จะออกสู่ตลาดมาก เมื่อเทียบกับปีก่อนที่เกิดภาวะแล้งและฝนทิ้งช่วง ส่งผลให้ผลผลิตในปีก่อนมีน้อย และผลไม้ราคาสูง โดยในเบื้องต้นได้กำหนดให้เกษตรกรและสหกรณ์การเกษตรดำเนินการคัดคุณภาพและบรรจุสินค้าผลไม้4 สินค้า ได้แก่ ทุเรียน มังคุด เงาะ และลำไย ส่งให้กับผู้ประกอบการเอกชนข้างต้นในปริมาณรวมไม่น้อยกว่า 3,000 ตัน คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 300 ล้านบาท นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้วางแนวทางผลักดันผลไม้ไทยบางส่วนไปจำหน่ายยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อเป็นการเสริมทัพผลไม้ไทยในตลาดต่างประเทศให้ผู้บริโภคในประเทศเพื่อนบ้านได้รู้จักและมีโอกาสได้บริโภคผลไม้ไทยคุณภาพเพิ่มเติมอีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ คาดว่าแนวทางดังกล่าวจะส่งผลให้สามารถดูดซับผลผลิตออกจากแหล่งพื้นที่ผลิตได้และส่งผลให้ระดับราคาผลไม้ที่เกษตรกรจำหน่ายได้มีเสถียรภาพ ซึ่งหากการดำเนินการดังกล่าวได้ผลดีจะดำเนินการขยายผลให้ครอบคลุมการซื้อขายผลไม้ชนิดอื่นๆคือ ผลผลิตผลไม้ภาคเหนือ (ลำไย และลิ้นจี่) และภาคใต้ (ลองกอง)ซึ่งจะออกสู่ตลาดในช่วงเดือนกรกฎาคม กันยายนต่อไป
อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินการดังกล่าวจะทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความพร้อมรับมือสถานการณ์ผลผลิตผลไม้ทุกรูปแบบ(Responsiveness) และ จะทำให้ผลไม้ของไทยยกระดับเป็นผลไม้คุณภาพ ผู้ประกอบการมีความเข้มแข็งสามารถเป็นกลไกหลักในการสนับสนุนอุตสาหกรรมผลไม้ได้ ซึ่งส่งผลให้เกษตรกรผู้ประกอบการค้า ผู้ประกอบการแปรรูปและผู้ส่งออกตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานมีรายได้เพิ่มขึ้น เกิดการหมุนเวียนเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจของประเทศเพิ่มขึ้นและเป็นการสนับสนุนประเทศไทยในการก้าวสู่การเป็นมหาอำนาจด้านการค้าผลไม้เมืองร้อนของโลกตามยุทธศาสตร์การค้าผลไม้ครบวงจรต่อไป