svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ความขัดแย้งอินเดีย-ปากีสถานไม่กระทบไทย

28 กุมภาพันธ์ 2562
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ความสัมพันธ์เชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่ซับซ้อนระหว่างอินเดียกับปากีสถานที่เริ่มขึ้นนับตั้งแต่อินเดียและปากีสถานได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 2490 โดยเฉพาะประเด็นความขัดแย้งเพื่ออ้างสิทธิเหนือพื้นที่แคชเมียร์ที่เริ่มขึ้นในปีนั้น และดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ซึ่งมีความรุนแรงและเกิดปฏิบัติการทางทหารที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นระยะ เช่น ในปี 2508 ปี 2532 และในปี 2542 แต่สถานการณ์รุนแรงดังกล่าวก็สามารถยุติลงได้ในที่สุด ซึ่งก็น่าจะเหมือนกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน เพราะทั้งสองประเทศต่างต้องพึ่งพากันในเชิงเศรษฐกิจอยู่ไม่น้อย ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ความตึงเครียดที่ร้อนแรงขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จนกระทั่งนำมาสู่การปิดน่านฟ้าของปากีสถานและอินเดียตอนเหนือบางส่วน ในเบื้องต้นน่าจะส่งผลค่อนข้างจำกัดทั้งด้านการค้าระหว่างไทยกับอินเดียและด้านการท่องเที่ยว ดังนี้
ภายใต้การคาดการณ์ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่เชื่อว่า จากประสบการณ์ในอดีตที่ไม่ว่าจะเกิดความตึงเครียดระหว่างอินเดียกับปากีสถานรุนแรงแค่ไหนก็ส่งผลกระทบจำกัดอยู่แค่พื้นที่โดยรอบเท่านั้นไม่ส่งผลลุกลามมายังเศรษฐกิจมากนัก และในที่สุดทั้งคู่ก็สามารถกลับมาอยู่ในจุดที่อยู่ร่วมกันได้แต่เรื่องสิทธิเหนือพื้นที่แคชเมียร์เป็นเรื่องที่ซับซ้อน จึงมีโอกาสที่จะหวนกลับมาเป็นประเด็นได้อีกในระยะข้างหน้าดังนั้นความตึงเครียดที่เกิดขึ้นระหว่างอินเดียกับปากีสถานครั้งนี้จึงแทบจะไม่ส่งผลต่อการค้าของไทยในปี2562 เพราะน่าจะคลี่คลายลงได้หรือไม่ยกระดับรุนแรงไปกว่านี้ อีกทั้งสินค้าที่ไทยส่งออกไปยังประเทศเหล่านี้ก็ค่อนข้างมีศักยภาพและเป็นที่ต้องการของตลาดรวมทั้งปลายทางสินค้าไทยส่วนใหญ่ไปยังเมืองท่าที่อยู่ตอนใต้ของประเทศปากีสถานอย่างเมืองการาจีและเมืองท่าของอินเดียอย่างเมืองมุมไบและเชนไนจากนั้นจึงกระจายต่อไปยังพื้นที่ส่วนอื่นต่อไป ซึ่งการปิดน่านฟ้าตอนบนของทั้งสองประเทศจึงไม่ส่งผลต่อการค้าของไทยอนึ่ง ทั้งอินเดียและปากีสถานก็นับว่าเป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทยในลำดับต้นๆของภูมิภาคเอเชียใต้ที่ประกอบด้วยอัฟกานิสถาน บังกลาเทศ ภูฏาน อินเดีย มัลดีฟส์เนปาล ปากีสถานและศรีลังกา ที่ในปี 2561 ไทยส่งออกไปยังเอเชียใต้รวมมีมูลค่าประมาณ10,957 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.4 ของการส่งออกทั้งหมดของไทย โดยในจำนวนนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นการส่งสินค้าไปยังตลาดอินเดียถึง7,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ปากีสถานซึ่งเป็นคู่ค้าในลำดับถัดมามีมูลค่าเพียง1,480 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยสินค้าส่งออกสำคัญเป็นสินค้าที่ไทยส่งไปทั้ง2 ประเทศ ล้วนมีศักยภาพโดดเด่นอยู่แล้ว ได้แก่ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติกยานยนต์และอุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องยนต์ และเครื่องปรับอากาศ เป็นต้นปัจจุบันอินเดียใช้ปากีสถานเป็นหนึ่งในเส้นทางขนส่งสินค้าไปยังตะวันออกกลางและทั้งสองต่างพึ่งพาการค้ากันด้วยอานิสงส์ภายใต้กรอบการค้าเสรีเอเชียใต้ (South Asian FTA: SAFTA) ทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เชื่อว่าความตึงเครียดระหว่างอินเดียและปากีสถานจะสามารถปรับเข้าสู่สถานะปกติได้ นำไปสู่การจำกัดพื้นที่ความขัดแย้งและจะสามารถเปิดเส้นทางบินทางอากาศได้โดยเร็วโดยจะไม่ลุกลามออกไปเป็นความขัดแย้งที่กระทบความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และไม่ส่งผลต่อการส่งออกของไทยไปอินเดียที่เป็นตลาดศักยภาพของไทยโดยคาดว่าการส่งออกของไทยไปอินเดียในปี 2562 จะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ3.3-5.3 มีมูลค่าส่งออกรวม 7,850-8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ถ้าหากความขัดแย้งลุกลามจนมีผลต่อนโยบายเศรษฐกิจและทิศทางการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีอินเดียที่กำลังจะจัดขึ้นในเดือนเมษายน-พฤษภาคม2562 การส่งออกของไทยในปี 2562 ก็อาจจะเติบโตต่ำกว่าที่คาดได้สำหรับประเด็นปัญหาระหว่างอินเดียและปากีสถานที่อาจจะมีผลต่อภาคการท่องเที่ยวของไทยนั้นศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ณ ขณะนี้ปัจจัยดังกล่าวน่าจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวอินเดียเที่ยวไทยเนื่องจากนักท่องเที่ยวอินเดียที่เดินทางมาเที่ยวไทยจะมาจากในพื้นที่ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวดังนั้น ปัญหาการปิดน่านฟ้าของปากีสถานและบางส่วนของอินเดียซึ่งส่งผลกระทบต่อการที่สายการบินต้องมีการปรับเปลี่ยนเส้นทางการบินมองว่าน่าจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของการท่องเที่ยวไทย แต่ก็คงต้องติดตามพัฒนาการของปัญหาต่อไปอีกระยะ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าทิศทางของตลาดนักท่องเที่ยวอินเดียเที่ยวไทยในปี 2562น่าจะยังรักษาระดับการเติบโตที่ดีต่อเนื่องได้โดยมีแรงหนุนส่วนหนึ่งมาจากมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียม Visa on Arrival ที่ช่วยหนุนการเติบโตของนักท่องเที่ยวอินเดียเที่ยวไทยมาตั้งแต่ในช่วงปลายปี2561 ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในปี 2562นักท่องเที่ยวอินเดียเที่ยวไทยน่าจะมีจำนวนประมาณ 1.70-1.74 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ6.7- 8.7 และการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวอินเดียเที่ยวไทยคาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ76,680-78,100ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2-9.2อย่างไรก็ดีในช่วงที่เหลือของปีนี้นอกจากต้องติดตามสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างอินเดียและปากีสถานแล้วยังมีปัจจัยอื่นที่ต้องติดตาม อาทิ เศรษฐกิจและค่าเงินรูเปียของอินเดียการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวระหว่างประเทศซึ่งในปีนี้หลายประเทศได้ให้ความสำคัญในการจับกลุ่มนักท่องเที่ยวอินเดียเช่นกันอนึ่งบทบาทของอินเดียต่อเศรษฐกิจไทยในด้านของภาคบริการการท่องเที่ยว นับว่ามีความสำคัญโดยไทยถือเป็นจุดหมายที่นักท่องเที่ยวอินเดียให้ความสนใจเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นอันดับต้นๆในภูมิภาคเอเชียซึ่งนักท่องเที่ยวอินเดียที่ท่องเที่ยวในไทยมีความหลากหลายทั้งกลุ่มที่เดินทางมาเพื่อการพักผ่อนกลุ่มที่เดินทางท่องเที่ยวในรูปแบบสัมมนาและการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อจัดงานแต่งงานในไทยซึ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ขณะที่ ในปี 2561นักท่องเที่ยวอินเดียเที่ยวไทยมีจำนวน 1.6 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.8 สูงเป็นอันดับที่6 ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยทั้งหมด และในเดือนมกราคม 2562นักท่องเที่ยวอินเดิยเที่ยวไทยยังคงขยายตัวต่อเนื่องราวร้อยละ 24.9สำหรับการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวอินเดียเที่ยวไทยในปี 2561 มีมูลค่าประมาณ 71,511ล้านบาท เติบโตถึงร้อยละ 30.6กล่าวโดยสรุป อินเดียยังคงเป็นตลาดการค้าและตลาดนักท่องเที่ยวที่น่าสนใจที่มีศักยภาพในการเติบโตตลอดปี2562 นี้ ซึ่งความขัดแย้งในครั้งนี้คาดว่าน่าจะเป็นเพียงความเสี่ยงระยะสั้น ขณะที่ปัญหาเชิงภูมิรัฐศาสตร์ของอินเดียกับปากีสถานเป็นเรื่องที่จะยังเป็นประเด็นอ่อนไหวต่อไปแต่ทั้งสองประเทศก็สามารถรับมือได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามสถานการณ์หลังจากนี้ว่าทางออกร่วมกันของอินเดียและปากีสถานจะเป็นไปในทิศทางใดโดยเฉพาะทางฝั่งอินเดียซึ่งถ้าหากบทสรุปไม่เป็นไปในลักษณะที่เอื้อต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจและการลงทุนอาจทำให้ความพยายามของรัฐบาลในการปฏิรูปประเทศและดึงดูด FDI ให้เข้ามาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ซึ่งอาจส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียไม่เป็นไปตามเป้าหมายรวมทั้งอาจส่งผลทางอ้อมมายังการค้ากับไทยและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวอินเดียที่ต้องติดตามต่อไป

logoline