1.ให้โรงงานน้ำตาลกำหนดสัดส่วนการรับอ้อยสดและอ้อยไฟไหม้ในแต่ละวันโดยขอให้มีการรับอ้อยสดไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 และอ้อยไฟไหม้ไม่เกินร้อยละ 40ของปริมาณอ้อยเข้าหีบทั้งหมดต่อวัน โดยให้โรงงานน้ำตาลและสมาคมชาวไร่อ้อย กำหนดแผนทั้งในด้านการกำหนดคิวการตัดและรับอ้อยเข้าหีบรวมถึงบริหารจัดการรถตัดอ้อยของโรงงานและของชาวไร่ร่วมกันให้เกิดการใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ
2. ให้โรงงานน้ำตาลเปิดให้ชาวไร่ที่ตัดอ้อยสดได้เข้าหีบก่อนทันทีและให้มีมาตรการจูงใจให้กับชาวไร่ที่ตัดอ้อยสด
มาตรการระยะกลาง(ปี 2562 - 2565) เริ่มภายหลังปิดหีบปี 2561/2562 1.ทบทวนระเบียบ ประกาศที่เกี่ยวข้องกับการหักเงินค่าอ้อยไฟไหม้ให้มีความเหมาะสมและส่งผลมากพอที่จะทำให้ชาวไร่เกิดความตระหนักในเรื่องการตัดอ้อยสดมากขึ้น2.เร่งรัดนำเสนอโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยครบวงจรระยะที่ 2(ปี 2562 - 2564) โดยขอกรอบวงเงินปีละ 2,000 ล้านบาทและขยายกลุ่มเป้าหมายของโครงการให้ครอบคลุมภาคเอกชนที่สนใจสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้นเนื่องจากจะเป็นการส่งเสริมให้เกิดธุรกิจในการรับจ้างตัดอ้อยและจะทำให้การบริหารจัดการรถตัดอ้อยมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าให้เกษตรกรเป็นผู้ลงทุนเพียงอย่างเดียว3.กำหนดพื้นที่ปลอดการเผาอ้อยในแต่ละจังหวัดที่มีการปลูกอ้อยโดยเฉพาะพื้นที่ซึ่งใกล้เขตชุมชน
มาตรการระยะยาว(ปี 2562 - 2565)1.กำหนดเป้าหมาย จัดทำแผนงาน มาตรการต่างๆ ร่วมกัน เพื่อลดปริมาณอ้อยไฟไหม้ลงปีละไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 และปริมาณอ้อยไฟไหม้จะหมดไปภายในปี 25652. จัดทำมาตรการเพื่อให้มีการจัดรูปที่ดินให้เหมาะกับการทำเกษตรแปลงใหญ่