EU คุมเข้ม "วีซ่าทอง" แบบที่ทักษิณได้

สหภาพยุโรป หรืออียู ออกมาเตือนประเทศต่าง ๆ ในกลุ่ม ที่ดำเนินโครงการ "หนังสือเดินทางและวีซ่าทอง" ซึ่งเปิดโอกาสให้เศรษฐีกระเป๋าหนัก ซื้อที่อยู่อาศัยหรือความเป็นพลเมืองแลกกับการลงทุนในประเทศ เพื่อให้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบคนที่เข้าร่วมโครงการ ท่ามกลางความวิตกกังวลว่า คนเหล่านี้อาจจะใช้ฉกฉวยประโยชน์จากโครงการนี้ อย่างเรื่องการฟอกเงิน, คอรัปชั่น และเลี่ยงภาษี
ทางคณะกรรมการยุโรป บอกในรายงานที่ออกมาในวันนี้ว่า โครงการหนังสือเดินทางและวีซ่าทอง ที่ออกให้กับหนึ่งในประเทศสมาชิกของอียู เท่ากับเป็นการเปิดประตูหลัง บ้านให้กับคนเหล่านี้ในการเข้ามาเป็นพลเมืองและสามารถอยู่อาศัยใน 28 ประเทศของอียูได้
นายดิมิทริส อัฟราโมปูลอส กรรมการด้านการอพยพย้ายถิ่น บอกว่าทางคณะกรรมการ จะติดตามดูเพื่อให้มีการปฏิบัติกฏหมายยุโรปอย่างเต็มที่
เขาออกมาเตือนว่า " งานที่ทุกฝ่ายร่วมกันทำมาตลอดหลายปี ในแง่ของการเพิ่มการรักษาความปลอดภัย การคุมเข้มบริเวณพรมแดน และการปิดช่องว่างของข้อมูลข่าวสาร ไม่ควรที่จะต้องเสียหายจากเรื่องนี้ "
โดยสมาชิกของอียูอย่างบัลแกเรีย , ไซปรัส และ มอลต้า ได้เสนอให้หนังสือเดินทางกับนักลงทุน ที่ไม่มีความเกี่ยวโยงใด ๆ กับประเทศ หรือไม่ต้องมีพันธกรณีที่จะต้องมาใช้ชีวิตในประเทศก็ได้ ขณะที่ 22 ประเทศก็เสนอในเรื่องของวีซ่าเพื่อการลงทุน
อย่างกรณีของมอลตา ที่เข้ามาเป็นสมาชิกอียู เมื่อปี 2556 หาเงินเข้าประเทศด้วยการให้ชาวต่างชาติซื้อพาสปอร์ตมอลตา หรือซื้อสัญชาติ เป็นจำนวนเงิน 650,000 ยูโร ที่นอกจากจะได้รับหนังสือเดินทางของอียู มีสิทธิ์ที่จะอาศัยและทำงานในประเทศสมาชิกอียู 28 ประเทศแล้ว ยังสามารถเดินทางเข้าสหรัฐฯ โดยไม่ต้องใช้วีซาด้วย
ขณะที่โครงการรายงานอาชญากรรมและการทุจริตคอรัปชั่น หรือ OCCRP ก็ระบุด้วยว่า มอนเตเนโกรก็เป็นอีกหนึ่งแหล่งหลบภัยของมหาเศรษฐีกระเป๋าหนัก โดยมอบสิทธิ์พำนักอาศัยแก่บุคคลต่างๆ รวมทั้งอดีตนายกรัฐมนตรีของไทย คือ ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกพิพากษาว่ามีความผิดฐานคอรัปชัน หลังหลบหนีออกนอกประเทศเมื่อปี 2551